Centurion Hotel Ueno

สวัสดีค่ะ กลัวจะเบื่อไต้หวันกันเพราะโพสต์ซะรัว ๆ เลย ^^” ก็เลยขอตัดสลับมาญี่ปุ่นนิดนึงนะคะ

Hotel name : Centurion Hotel Ueno
City : Tokyo, Japan
Location : https://goo.gl/maps/4PVegBmdVAW5m8F9A
Booking via : booking.com
Room type : Queen Room – non smoking with extra bed
Room rate : 66,690Y (4 nights)
Check-in date : 16 – 20 Feb 2019, 4 nights
Website : http://www.centurion-hotel.com/ueno/lang/en/

อยากจะบอกว่าที่ตั้งของโรงแรมนี้คือดีงามมาก ๆ ค่ะ ใกล้ย่านช้อปปิ้งในอุเอโนะอย่าง Ameyoko แล้วใกล้ ๆ ก็มี Don Quijote และ ตึกม่วงอย่าง Takeya อีกด้วย และมากไปกว่านั้นก็คือ ใกล้รถไฟฟ้าอยู่ 2 สถานี อย่าง Yushima และ Ueno-Okachimachi แต่ถ้าหากเดินต่อไปอีกนิด ก็จะมีสถานี Okachimachi อีก อีกทั้งก็ไม่ได้ไกลเกินเดินไปยังสถานี Ueno ด้วยค่ะ ถ้าหากนั่งรถไฟ Keisei Skyliner จากสนามบินนาริตะมาก็จะยิ่งสะดวกมากขึ้น ไม่ต้องต่อรถอะไรอีกให้ลำบากเลยล่ะค่ะ

ปูข้อดีกันมาขนาดนี้แล้วว มาดูกันนะว่าโรงแรมนี้จะเป็นยังไงกันบ้าง

โรงแรมนี้มีทั้งหมด 2 ตึก ตึกที่เราต้องไปเช็คอินก็คือตึกที่ไม่มี Family Mart ใต้ตึกค่ะ กระจกทางเข้าจะเป็นโค้ง ๆ และขึ้นบันไดเลื่อนไปจะเจอกับล็อบบี้โรงแรมเพื่อทำการเช็คอิน

จริง ๆ โรงแรมมีบริการอาหารเช้า (คิดค่าบริการเพิ่ม) แต่เคโกะจองมาแบบไม่รับอาหารเช้าค่ะ พนง. พูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก ๆ เลย อธิบายการระเบียบการเข้าพักต่าง ๆ ให้พวกเราอย่างคล่องแคล่ว ซึ่งห้องพักของพวกเราจะอยู่อีกตึกนึงที่มี Family Mart ใต้ตึกค่ะ ดีงามไปอีก ก็จะมีขนมกินตลอดที่เราพักที่นี่เลยนะ (555)

ด้านหน้าตึกมีคีย์การ์ดที่เราจะต้องแปะบัตร แล้วประตูอาคารจึงจะเปิดให้เราเข้าไปในตัวอาคารได้ค่ะ แต่จากภายในก็ไม่ต้องใช้คีย์การ์ดนะคะ

เปิดห้องเข้ามา จะเป็นทางเดินแคบ ๆ จนสุดมุมห้องจะมีไม้แขวนเสื้อตั้งพื้น พร้อมด้วยเสื้อคลุมให้ตามจำนวนคนเข้าพัก ซึ่งพวกเราก็อาศัยแขวนเสื้อกันหนาว และวางกระเป๋าเดินทางพวกเราไว้แถว ๆ นี้กัน

หันกลับไปที่ประตูห้องก็จะประมาณนี้

บนบานประตูห้องมีแผ่นป้ายที่ให้เราแปะหน้าประตูด้วยว่า Clean up room หรือ Do not disturb ค่ะ ซึ่งตอนที่พนง.โรงแรมอธิบายให้เราฟัง เราก็ฟังกันเข้าใจนะ แต่เราหาป้ายนี้ไม่เจอ พอเจอก็งงว่าทำไมไปติดอยู่บนประตู แกะก็ไม่ออกค่ะ มารู้เอาวันสุดท้ายคือเป็นแบบแม่เหล็ก แค่หยิบออกมาก็หลุดเลย เอิ่ม…….

แต่ว่า default ของโรงแรมก็คือทำความสะอาดให้ทุกวันค่ะ แต่สิ่งที่เค้าจะไม่แตะก็คือเตียง เค้าไม่ได้ทำเตียงใหม่ให้ทุกวันนะคะ

ใกล้ ๆ กันกับไม้แขวนเสื้อตั้งพื้น ก็จะมีเครื่องฟอกอากาศตัวเล็กตั้งพื้นอยู่ แต่ว่าพวกเราก็ไม่ได้เปิดใช้ค่ะ

ด้านขวามือ ถ้าเราหันเข้าไปในห้อง ก็จะเป็นห้องน้ำขนาดเล็ก ตามสไตล์ญี่ปุ่นค่ะ ^^”

มีม่านกั้นแยกส่วนเปียก (อ่างอาบน้ำ) และส่วนแห้ง

เปิดม่านออกให้ดูบริเวณอ่างอาบน้ำนะคะ

เงาสะท้อนในกระจกก็มองผ่าน ๆ ไปแล้วกันนะคะ –เคโกะรีบ ๆ ถ่ายรูปด้วยอะ เลยยังไม่ได้ถอดเสื้อกันหนาวเลยค่ะ ><“

ซูมให้ดูตรงชั้นวางตรงอ่างอาบน้ำ มีให้ครบทั้งแชมพู ครีมนวดและครีมอาบน้ำเลยค่ะ

ส่วนตรงอ่างล้างหน้า ก็จะมีครีมโลชั่นต่าง ๆ วางไว้ให้ใช้เช่นกัน

amenities ก็พร้อมสรรพค่ะ

คือมันก็หลีกเลี่ยงเงาสะท้อนในกระจกไม่ได้อะนะ แหะๆ

ออกมาจากห้องน้ำบ้าง บนกำแพงก็จะมีทีวีจอแบนแขวนผนังอยู่ ซึ่งพวกเราก็ไม่ได้เปิดเลยค่ะ

ใกล้ ๆ ก็เป็นโต๊ะเครื่องแป้งค่ะ

หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง มีถังน้ำแข็งและแก้วน้ำตามจำนวนคนเช่นกัน วางไว้ให้บริการด้วย

ปิดท้ายที่เตียงนอนค่ะ จองห้องมา 3 คน ซึ่งจริง ๆ ก็คือห้อง 2 คนแล้วปรับจากโซฟาในห้องนอนเป็นเตียงนอนสำหรับคนที่ 3 นั่นเอง

เตียงนอนหลักในห้องก็จะเป็นแบบ double bed นะคะ ชอบตรงหัวเตียงมีพื้นที่ให้พอวางอะไรกรุบกริบนิดหน่อยด้วย มีสวิตซ์ไฟอยู่ตรงนี้ด้วยค่ะ ปรับแสงสว่าง/มืดได้ตามใจชอบด้วย

เตียงที่ 3 ก็จะจัดให้อยู่ข้าง ๆ ค่ะ ก็ขนาดพอเหมาะกำลังดีสำหรับ 1 คนล่ะนะคะ

จัดหมอนไว้ฝั่งกำแพง เลยแซวกันอยู่กับเพื่อนว่า แล้วจะต้องหันเท้ามาหาเพื่อนหรอ 5555 สุดท้ายก็เลยกลับฝั่งหมอนค่ะ ย้ายมาอีกฝั่งหนึ่งของเตียงแทน

สรุปเลยนะคะ

  • location คือดีงามมากกกก ได้ทั้งช้อปปิ้ง ได้ทั้งเที่ยวค่ะ ใกล้แหล่งช้อปปิ้ง ใกล้สถานีรถไฟ เดินทางสะดวกมาก ๆ
  • ใต้ตึกมีมินิมาร์ทอยู่ และรอบ ๆ ก็มีร้านอาหาร ร้านค้าอะไรต่าง ๆ เพียบเลยค่ะ รวมไปถึงร้านเหล้า สำหรับนักท่องราตรีด้วยนะคะ ^^”
  • พนง. อัธยาศัยดีค่ะ พูดอังกฤษคล่อง ในวันเช็คเอาท์ พวกเราออกมาเจอกับพนง.ที่มาทำความสะอาดพอดี เค้าก็ทักทายเราอย่างยิ้มแย้มแจ่มใสดีค่ะ
  • ขั้นตอนการเช็คอิน-เช็คเอาท์ง่าย สะดวกดีค่ะ อย่างตอนเช็คเอาท์ก็แค่หย่อนบัตรห้องลงไปในกล่องที่อยู่ในลิฟท์ก็เป็นอันเรียบร้อยค่ะ

โดยรวมก็จัดว่าเป็นโรงแรมในย่านที่ดี แนะนำเลยค่ะ

เจอกันใหม่ในโพสต์ถัดไปนะคะ
https://www.facebook.com/thisiskeigo/

Cafe de Miki with Hello Kitty @ Himeji

สวัสดีค่ะ โพสต์นี้มาแนะนำร้านคาเฟ่น่ารัก ๆ กันบ้างดีกว่า

ในทริปญี่ปุ่นเมื่อต้นปีนั้นบังเอิญไปช่วงใกล้ ๆ วันเกิดเพื่อนคนนึงในกรุ๊ปพอดี ก็เลยสุมหัว เอ้ย รวมหัวกันวางแผนไปเบิร์ธเดย์เจ้าตัวในคาเฟ่น่ารัก ๆ ซักร้าน ก็เสิร์ชไปมาก็เลยเจอว่าในเมืองฮิเมจิที่เราจะไปปราสาทฮิเมจินั้นมีคาเฟ่คิตตี้น่ารัก ๆ ที่ดูเหมาะกับเจ้าตัวดี ก็เลยตกลงใจว่าเลือกร้านนี้แหละ

Cafe name : Cafe de Miki with Hello Kitty
Location : Miyukidori (Shopping street), Himeji station
Websitehttp://cafedemiki.jp/himeji/
Opening hours : 9.30-19.00 (last order is 18.30)
Visited date : 27 Jan 2018

เราแวะที่คาเฟ่นี้กันหลังจากไปเดินชมปราสาทมาเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ ก็เดินย้อนกลับมาทางเดิมที่กลับมาสถานีอะนะคะ แล้วระหว่างทางก็จะมีถนนช้อปปิ้งอยู่ ก็เดินเข้าไปได้เลยค่ะ ถนนตรอกนี้เรียกว่า Miyukidori (มิยุกิโดริ)

IMG_4408

เดินตามตรอกมาเรื่อย ๆ ก็จะเจออยู่ทางซ้ายมือค่ะ (เดินตรงไปตามรูปด้านบนเลยนะคะ ไม่ใช่ตามถนนใหญ่ค่ะ)

หน้าร้านก็จะเป็นธีมคิตตี้เลย สายหวานต้องมาค่ะ 55

IMG_4409

ชั้นล่างจะเป็นเคาน์เตอร์สั่งอาหาร มีโต๊ะนั่งนิดหน่อย ซึ่งขึ้นไปชั้นบนได้ค่ะ ร้านจะมีทั้งหมด 3 ชั้น รวม ๆ แล้วมีที่นั่งพอสมควรเลย ซึ่งด้านในมีลิฟท์นะคะ ไม่ต้องกังวลว่าไปนั่งชั้น 3 แล้วจะเดินเหนื่อยนะคะ

สั่งอาหารแล้วชำระเงินเลยนะคะ แล้วเค้าจะให้ป้ายหมายเลขมา พนง.จะยกไปเสิร์ฟให้ตามเบอร์ที่เค้าให้มาค่ะ

ในส่วนเครื่องดื่มนั้น เคโกะแนะนำว่าควรสั่งตระกูลลาเต้นะคะ เพราะเค้าจะเทฟองนมมาด้านบนและ decorate เป็นรูปคิตตี้ค่ะ น่าร้ากกกกเลยล่ะ

IMG_4412

เคโกะสั่งเป็นชาเขียวเย็นค่ะ รสชาติก็กลางๆ เน้นน่ารักดีกว่า 555

IMG_4410

ส่วนอาหาร ที่นี่ไม่ค่อยเน้นเท่าไหร่ค่ะ มีไม่กี่เมนูเอง เข้าใจว่าด้วยข้อจำกัดของครัวเนอะ ซึ่งครัวเค้าก็คือไมโครเวฟค่ะ (555) ก็จะเป็นอาหารประเภทที่เข้าไมโครเวฟหรือเตาอบได้ล่ะค่ะ

พวกเราก็สั่งอยู่ 2 เมนู คือแซนด์วิช กับเบอร์เกอร์ ส่วนประกอบคล้าย ๆ กัน ต่างแค่ประเภทขนมปังค่ะ

IMG_4413

ถ้าเป็นเบอร์เกอร์ ก็จะน่ารักกว่าหน่อย มีคิตตี้มาเต็มหน้า ไม่ได้มาแค่โบว์เหมือนแซนด์วิชค่ะ

IMG_4416

กินอาหารคาวแล้ว ก็ถึงเวลาเซอร์ไพรส์เพื่อน ลงไปสั่งขนมหวานมาเบิรธ์เดย์เพื่อน

ถามเค้าอยู่ว่าเขียนหน้าเค้กได้มั้ย เค้าว่าทำให้ไม่ได้ .. ก็น่าจะเป็นข้อจำกัดอีกอย่างนึง น่าจะได้แค่ชงเครื่องดื่ม ที่เหลือก็ไม่ต้องใช้ฝีมืออะไรมากมายค่ะ

เค้กชิ้นแรกเป็นเค้กช็อคโกแลต อร่อยดีนะ

IMG_4420

แล้วอีกจานเป็นแพนเค้กค่ะ น่าร้ากกกอีกแล้ว

IMG_4421

 

โดยรวมกับคิตตี้คาเฟ่ ก็เน้นความน่ารักของการตกแต่งร้านและอาหารเครื่องดื่มล่ะค่ะ มาถ่ายรูปกิ๊วก๊าวกันได้ตามสบายเลย ในเรื่องของอาหารคาว เคโกะว่ารสชาติเฉยๆ ก็มาตรฐานอาหารปรุงไมโครเวฟ (+เตาอบ) ทั่วไปอะค่ะ ส่วนเครื่องดื่ม เน้นไปแนวนม ๆ จะดีกว่า เพราะเค้าจะแต่งหน้าเป็นคิตตี้มาให้ด้วย

ส่วนเรื่องราคา เคโกะไม่ได้จดไว้นะคะ ^^”

แนะนำไว้ละกันสำหรับสายหวานหรืออยากมานั่งพักผ่อนชิลล์ๆนะคะ

ปิดท้ายที่ฝากเพจด้วยค่าาา~ https://www.facebook.com/thisiskeigo/

 

Himeji

สวัสดีค่ะ ทริปญี่ปุ่นเมื่อต้นปีของเคโกะ (กว่าจะเขียนจบก็กลางปีซะงั้น – -” ) ดูจะซ้ำ ๆ รอยนิดหน่อยกับที่เคยไปมาแล้วหนนึงนะคะ และโพสต์นี้ก็เช่นกัน

Spot name : Himeji castle
Websitehttp://www.himejicastle.jp/en/
Location : Himeji station and walk about 15 minutes
Entrance fee : 1,000Y
Opening hours : 9AM-4PM (9AM-5PM in summer)

เราเดินทางมาถึงสถานี Himeji แล้วก็เดินตรงดุ่ม ๆ ไปยังปราสาทตรงหน้าที่สามารถมองเห็นได้ตั้งแต่อยู่ที่หน้าสถานีเลยค่ะ

ระหว่างทางเดินไปปราสาท เคโกะก็สังเกตเห็นป้ายเตือนอันนึงที่วางอยู่บนทางเท้า ดูน่ารักดีอะ

IMG_4377

“เดินใช้สมาร์ทโฟนอันตรายนะ”

เดินมาราวสามท้อใจท่ามกลางอากาศที่ค่อนข้างหนาว พวกเราก็มาถึงจนได้ค่ะ

DSC_6286

เดินผ่านประตูชั้นนอกเข้ามา ก็จะเป็นสวนขนาดใหญ่ มีซุ้มถ่ายรูปด้วย (น่าจะเสียสตางค์ค่ะ)

DSC_6298

ตัวปราสาทเด่นมาก ๆ อย่างที่บอกไป เราสามารถเห็นได้ในระยะไกล ตั้งแต่สถานีก็เห็นได้แล้วค่ะ

DSC_6301

เดินไปจนถึงจุดจำหน่ายตั๋วเข้าชม สามารถใช้บริการตู้ขายตั๋วอัตโนมัติได้เลยนะคะ ใช้งานง่ายดีค่ะ

IMG_4380

ผู้ใหญ่แถวบน ซ้ายไปขวาคือจำนวนตั๋วที่ต้องการซื้อค่ะ มี 1-2-3 และ 4 ใบ แถวล่างเป็นตั๋วสำหรับเด็ก ราคา 300Y (ถูกกว่าผู้ใหญ่มากเลย ^^”)

ก็มีคำบรรยายภาษาอังกฤษกำกับไว้ด้วยนะคะ ไม่ยากๆ

IMG_4381

ได้ตั๋วมาแล้วค่ะ

IMG_4382

เข้าไปด้านในก็จะเจอกับคุณลุงจนท. ที่น่ารักมาก ๆ ขอให้คุณลุงถ่ายรูปให้ คุณลุงก็ถ่ายให้อย่างทะมัดทแมงดีค่ะ รู้มุมด้วยว่าต้องถ่ายประมาณไหนไรงี้ ตรงนี้จะเป็นมุมที่คุณลุงถ่ายรูปให้นะคะ เรายืนด้านหน้า ด้านหลังก็จะเป็นตัวปราสาททั้งหลังค่ะ สวยมาก ๆ เป็นจุดถ่ายรูปจุดนึงเลยค่ะ

DSC_6305

ครั้งก่อนที่เคโกะมา ยังเป็นช่วงบูรณะซ่อมแซมอยู่ ก็เลยดูได้แต่พิพิธภัณฑ์ที่ทางปราสาทได้จัดทำแสดงไว้ แต่ไม่ได้เข้าตัวปราสาทค่ะ

มาครั้งนี้ตัวปราสาทบูรณะเสร็จไปส่วนใหญ่แล้ว เปิดให้เข้าชมได้ (ตั๋วก็เลยเป็นราคาเต็มไงล่ะ T.T) ด้านในก็ยังดูโล่ง ๆ อยู่ ทางเดินแอบดูงง ๆ และมืด ๆ เล็กน้อยค่ะ มีบันไดให้วนขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุดได้ แต่ทางเดินบันไดนั้นแคบและชันมาก ๆ ระวังกันด้วยนะคะ

ด้านบนสุดจะมีศาลเจ้าเล็ก ๆ ประดิษฐานอยู่ เห็นคนไหว้ขอพร โยนเหรียญอยู่บ้างประปรายค่ะ

DSC_6329

แล้วก็ชมวิวมุมสูงได้ด้วย มองย้อนกลับไปเห็นทางเดินที่เราเดินมากันด้วยค่ะ

IMG_4394

เดินวนครบรอบก็เดินออก ก็เจอกับฝูงชนกลุ่มใหญ่ยืนถ่ายรูปเล่นบริเวณนี้อยู่ ก็ดูเป็นมุมที่สวยอีกมุมนึงค่ะ

DSC_6340

ปิดท้ายที่ตู้ขายเหรียญที่ระลึก ซึ่งอยู่ในร้านขายของที่ระลึกตรงทางออกจากปราสาทค่ะ

IMG_4403

ในเมืองฮิเมจินี้นอกจากปราสาทฮิเมจิแล้ว ก็ยังมีที่อื่น ๆ ที่น่าสนใจด้วยนะคะ แต่ว่าด้วยเวลาจำกัด (อีกแล้ว) ก็เลยไปได้แค่นี้เอง หลังจากนี้จะไปไหนกันต่อต้องติดตามในโพสต์ถัดไปนะคะ

ฝากเพจด้วยน้าาาา https://www.facebook.com/thisiskeigo/

Wakayama

สวัสดีค่ะ หลังจากเป็นนุชที่ดีแอบลัดคิวลงเรื่องทริปขนอมไปแล้วก็กลับมาวนเวียนในญี่ปุ่นกันต่อนะคะ ^^”

ทริปเมือง Wakayama นี้ก็จะเป็น 1-day trip เช่นเดิมนะคะ สามารถไป-กลับโอซากะในวันเดียวได้สบายๆ ค่ะ

Spot name : Wakayama Castle, Tama Densha Line
Location : Wakayama
Visited date : 26 Jan 2018
Pass used : No (except JR KWAP)

เริ่มต้นที่สถานี JR Wakayama นะคะ พอพวกเรามาถึง เราก็แวะเวียนไปที่ Tourist Information Center ที่อยู่ภายในสถานีชั้นใต้ดิน สอบถามข้อมูลอะไรได้จากตรงนี้เลยนะคะ จากนั้นเราก็ออกไปด้านหน้าสถานี นั่งรถเมล์ไปลงที่ป้าย Koenmae (โค-เอน-มา-เอะ = หน้าสวน) ค่ะ แล้วเราก็จะเจอกับด้านหน้าทางเข้าปราสาท หรือ Wakayama Castle พอดีเลย

DSC_6230

ก็จะมีกำแพงปราสาทสองชั้น ตามลักษณะปราสาทญี่ปุ่นสมัยก่อนนะคะ

DSC_6233

พอเดินเข้าไปจนถึงชั้นในแล้ว ก็จะมีป้ายบอกทาง ซึ่งทางที่เคโกะเดินเข้าไปเนี่ย เราจะเลี้ยวซ้ายหรือขวา ก็ไปถึงตัวปราสาทได้หมดค่ะ อารมณ์ประมาณยืนอยู่กึ่งกลางล่ะค่ะ ><~

แค่เลือกว่า จะไปโผล่ด้านหน้าหรือด้านหลัง (ตามป้าย) อะนะคะ

IMG_4276

เดินไปตามทางเรื่อย ๆ ซักระยะ เราก็พอจะเริ่มเห็นตัวปราสาทกันแล้วนะคะ

DSC_6238

เดินมาจนถึงกำแพงของปราสาท Wakayama จนได้ค่ะ ดูใกล้ ๆ แบบนี้รู้สึกใหญ่โตโอ่อ่าและสง่ามากเลยค่ะ

DSC_6244

แล้วก็ซื้อตั๋วเข้าชมกันก่อนด้วยค่ะ คนละ 400Y ค่ะ

IMG_4277

เดินผ่านประตูที่ตรวจตั๋วเข้าไป ก็จะมีสวนพักสายตาเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้พักผ่อนสายตา

DSC_6245

ด้านในปราสาทก็จะทำเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงชุดนักรบสมัยก่อน อาวุธ เสื้อผ้า การแต่งกายอะไรงี้อะค่ะ

สามารถเดินขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุดได้เลย และยังสามารถเดินออกไประเบียงด้านนอก เพื่อชมวิวเมืองในมุมสูงได้ด้วยนะคะ

DSC_6247

อีกซักมุมค่ะ

DSC_6249

แบบพาโนรามาบ้างนะคะ

IMG_4283

ทางเดินชมปราสาทจะเป็นเส้นทางเดินวนเข้าและออกคนละทางกันค่ะ พอออกมานอกปราสาทแล้ว ใกล้ ๆ กันจะมีที่ชมวิวตัวปราสาทได้อย่างสวยงามมาก ๆ อีกจุดนึงค่ะ

DSC_6254

เราเพลิดเพลินอยู่กับ Wakayama Castle กันจนพอใจแล้ว เราก็เดินออกและนั่งรถเมล์กลับไปที่สถานี Wakayama ตามเดิมค่ะ

จุดหมายต่อไปก็สำหรับทาสแมวและคนรักแมวทั้งหลายเลยค่ะ กับนายสถานีแมวทามะรุ่น 2 และรถไฟสายทามะจัง ^^

เมื่อกลับมาถึงสถานี Wakayama แล้ว ก็เดินเข้าไปด้านในสถานี ตรงไปที่ชานชาลาหมายเลข 9 เลยค่ะ ซึ่งจะมีป้ายบอกทางอยู่ทั้งสถานีเลย บนพื้นก็ยังมีเลยนะ เดินตามไปได้เลยค่ะ

IMG_4289

มาถึงชานชาลาหมายเลข 9 แล้วค่ะ

IMG_4291

ตามขั้นบันไดก็เป็นรูปรอยเท้าแมวอะ น่าร้ากกกกกก

IMG_4292

ส่วนบนกำแพงสองฝั่งทางเดินก็มีรูปการ์ตูนแมวทามะจังค่ะ

IMG_4293

รถไฟสาย local นี้มีรถไฟทั้งหมด 4 ขบวน แต่ว่าวันที่ไปให้บริการ 3 ขบวนคือ

  • Tamaden (たま電車) รถไฟจะเพนท์เป็นรูปแมวทามะ นายสถานีของรถไฟสายนี้ค่ะ แต่ทามะจังได้เสียไปแล้วหลายปีก่อน ตอนนี้เป็น generation 2 หรือรุ่นที่ 2 ค่ะชื่อว่า นิทามะ (Nitama)
  • Omoden (おもちゃ電車) รถไฟสายของเล่นค่ะ ด้านในจะมีตู้กาชาปองให้หยอดเล่นด้วย
  • Umeboshi (うめ星電車) รถไฟสายบ๊วย จะเพนท์เป็นรูปดอกบ๊วยค่ะ

อีกขบวนนึงที่ไม่ได้ให้บริการคือรถไฟสตรอเบอรี่ค่ะ

เคโกะไม่ได้ดูตารางเวลามาก่อนนะคะ มาถึงก็ได้รถไฟสายบ๊วยก่อนเลยค่ะ

DSC_6271

ด้านในก็จะเพนท์ลวดลายดอกบ๊วย ประมาณนี้

IMG_4298

ระหว่างพักที่สถานีนึง เราก็เจอรถไฟสายของเล่นเข้าพอดี

IMG_4299

เรานั่งไปจนสุดสายปลายทางคือสถานี Kishi Station เพื่อมาหานิทามะจัง นายสถานีรุ่น 2 แทนทามะจังที่เสียไปแล้วค่ะ

น่าร้ากกกกกกกกกกก ❤

IMG_4307

ในแต่ละสถานีจะมีป้ายตารางเวลารถไฟบอกด้วยค่ะ เพราะงั้นพอลงรถไฟแล้วก็แวะมาดูตารางเวลาสักหน่อย จะได้กะเวลามารอรถไฟกันถูกนะคะ

IMG_4313

แล้วก็มีป้ายบอกด้วยว่าแมวทั้งสองตัว (รุ่น 2 นี้มีสองตัวค่ะ คือ นิทามะ กับ ยนทามะ (Yontama) แต่วันที่ไป ยนทามะจังหยุดงานค่ะ ^^”

IMG_4333

ข้อมูลว่าแมวตัวไหนประจำการที่สถานีใด ตัวไหนหยุด ตัวไหนทำงานนั้นหาได้จากเว็บไซต์เลยค่ะ

ที่สถานี Kishi นั้น นอกจากมีแมวนิทามะจังประจำการให้ทาสแมวอย่างเคโกะกรี๊ดแล้ว ก็ยังมี Tama shop ขายของที่ระลึกที่มีรูปการ์ตูนทามะจังให้ได้ช้อปปิ้งกันด้วยค่ะ ขนาดเคโกะเป็นคนที่ไม่ค่อยซื้อของที่ระลึกอะไรนะ ยังโดนไปสองสามชิ้นเลยค่ะ .. ก็น่ารักกกกออก~

นอกจากนี้แล้ว สถานี้ยังสามารถนั่งรถต่อไปที่ไร่สตรอเบอรี่เพื่อเก็บสตรอเบอรี่สด ๆ ทานกันได้ด้วยนะคะ ซึ่งพวกเราลงความเห็นกันว่าไม่ไปค่ะ ^^”

ในขากลับ เราได้รถไฟสายทามะพอดี กรี๊ดมากเลย (เดี๋ยวๆ ได้ข่าวว่าเธอตั้งใจรอนี่นะ 555)

DSC_6274

รถไฟก็ยังน่าร้ากกกกกก

DSC_6281

ด้านในก็น่าร้ากกกกกกก

IMG_4327

นอกจากที่เคโกะไปและลงเรื่องเล่าให้อ่านนี้แล้ว เมือง Wakayama ก็ยังมีที่ที่น่าสนใจอีกหลายที่ค่ะ แต่เวลาเราไม่เอื้ออำนวยจริง ๆ เลยได้แค่นี้เอง T^T แอบเสียดายอยู่เหมือนกัน ถ้ามีเวลามากพอ เคโกะว่าลองแวะพักที่เมืองนี้ดูอะค่ะ น่าจะดีกว่านะ ^^”

ก็ถ้าชอบเมืองเงียบ ๆ สงบ ๆ และมีแมวน่ารัก ๆ ก็ลองแวะไปเที่ยวกันดูนะคะ

ฝากเพจไว้อีกตามเคย ^^~ https://www.facebook.com/thisiskeigo/

Kobe

สวัสดีค่ะ ยังคงวนเวียนอยู่ในทริปญี่ปุ่นฤดูหนาวที่พยายามรีบเขียนให้จบ .. ก่อนที่หน้าหนาวจะวนมาใหม่ค่ะ 555

Spot name : Merikan Park / Chinatown / Rokko-san (Mount Rokko)
Location : Kobe, Kansai prefecture, Japan
Visited date : 25 Jan 2018
Used pass : Rokkosan tourist pass

สำหรับพวกเราที่ถือพาส KWAP (Kansai Wide Area Pass) ในมือไว้อยู่แล้ว ก็จะถือเป็นเรื่องที่สุดคุ้มในการมาโกเบ ก็คือความสามารถใช้รถไฟชินคังเซ็นมาที่สถานี Shin-Kobe ได้ฟรีเลยค่ะ ใช้เวลาเพียงแค่ 13 นาทีเท่านั้นก็วาร์ปจากโอซากะมาโกเบได้เลย ^^

แล้วเราก็นั่งรถบัส Kobe City Loop Bus ไปที่ Motomachi ค่ะ ซึ่งเราไม่ได้ใช้ 1-day bus pass นะคะ เพราะไปแค่ไม่กี่เที่ยว ยังไม่คุ้มค่าตั๋วค่ะ (ถ้าให้คุ้มต้องมากกว่า 3 เที่ยว ซึ่งพวกเราใช้ 3 เที่ยวพอดี เลยไม่ได้ซื้อค่ะ — อ้อ แล้วเรายังมีส่วนลดนิดหน่อยจากเคาน์เตอร์ข้อมูลการท่องเที่ยวด้วย เลยทำให้ถูกกว่าเดย์พาสค่ะ)

ภายในรถบัส จะมีสาวสวยคอยบรรยายสถานที่สำคัญต่าง ๆ ให้ฟัง และขานป้ายที่จะจอดให้ด้วย (แน่นอนว่าเป็นภาษาญี่ปุ่นล้วน ๆ ค่ะ)

IMG_4214

ลงรถมาก็จะเห็นปลาตัวใหญ่แต่ไกลเลยค่ะ

DSC_6165

บริเวณนี้เป็นสวนสาธารณะที่ระลึกแผ่นดินไหว (Port of Kobe Earthquake Memorial Park) ค่ะ ก็จะมีจุดถ่ายรูปอยู่พอสมควร และติดกับท่าเรือด้วย ก็กินลมชมวิวกันไปได้ค่ะ

DSC_6171

มองไปเบื้องหน้าไกล ๆ จะเห็น Kobe Tower ที่เด่นเป็นสง่าค่ะ

DSC_6173

วิวทะเลบ้างค่ะ

DSC_6175

ชื่นชมบริเวณนี้แล้ว เราก็เดินดิ่งไปยัง Kobe Tower ค่ะ

DSC_6180

เราวนเวียนอยู่ในโกเบทาวเวอร์อยู่พักนึง หลังจากซาวด์เสียงกันแล้วว่าไม่มีใครอยากขึ้นไปชมวิวมุมสูงด้านบน เราก็เดินออกค่ะ ^^”

นั่งรถ City Loop Bus ต่อไปที่ Chinatown ซึ่งก็ตั้งใจว่ามาเดินเล่น ดูบรรยากาศไชน่าทาวน์ในโกเบ แล้วก็หาอะไรกินเล่น กินจริงจังกันค่ะ

DSC_6186

บรรยากาศก็ดูค่อนข้างเปลี่ยนไปจากวันที่เคโกะเคยมา ซึ่งครั้งนี้ที่ไปก็จะมีพนง.เชียร์ลูกค้าเข้าร้านตนเองเป็นภาษาจีนเยอะขึ้นมาก ๆ ค่ะ ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในแหล่งที่ใช้ภาษาจีนเลยอะ หลังจากที่เราคุยกันแล้วก็ตกลงว่า ไม่กินเล่นละ เอาจริงจังเลย (555) ก็เลยเลี้ยวเข้าร้านอาหารจีนร้านนึงค่ะ เค้ามีแบบบุฟเฟ่ต์ด้วย ซึ่งตอนแรกพวกเราไม่รู้ เลยทำท่าจะออก พนง.ก็เลยว่าสั่งเป็น a-la-cart ได้ เราก็เลยโอเคค่ะ

เพราะเป็นอาหารจีน แถมพนง.มองหน้าตาพวกเราที่ดูหมวย ๆ กันแล้วก็ส่งภาษาจีนมาแต่ต้นด้วย เพื่อน ๆ ก็เลยพร้อมใจให้เคโกะเป็นคนสั่งอาหาร สิ่งที่ได้มาก็คือ

ผัดผักรวม

IMG_4217

เมนูสุดโปรด แพ้ทางทุกครั้งที่เข้าร้านอาหารจีน .. ผัดเต้าหู้เสฉวนค่ะ และเป็นเมนูเดียวที่สามารถสั่งเป็นชื่อภาษาจีนได้ 555

IMG_4218

ข้าวผัด

IMG_4219

และผัดกระดูกหมูซอสเอ็กซ์โอมั้งนะ

IMG_4220

ก็สำหรับคน 4 คน ก็ถือว่าพอเพียงและอิ่มดีค่ะ รสชาติอาหารโดยรวมก็ถือว่าโอเคนะ ให้ความรู้สึกอาหารจีนจริง ๆ ได้อยู่ค่ะ (บวกกับที่พนง.คุยเป็นภาษาจีนกับเราตลอดแล้ว เหมือนอยู่ประเทศที่ใช้ภาษาจีนจริง ๆ เลยอะ ^^”)

ทานอาหารอิ่มกันแล้ว เราก็ไปต่อที่ Rokko เลยค่ะ ซึ่งพาสตัวที่เราซื้อมา (Rokkosan tourist pass) นั้นได้รวมการเดินทางไว้หมดแล้ว ตั้งแต่รถบัสสาย 16, Cable car และ Sanjo bus ที่เป็นรถบัสวิ่งวนอยู่บนเขา Rokko ค่ะ

ซึ่งในการไปนั่งรถบัสสาย 16 อันเป็นจุดเริ่มต้นของพาสตัวนี้ คือ เราก็ต้องไปให้ถึงสถานีรถไฟ 3 สถานีค่ะ
– Rokko station (Hankyo Line)
– Rokkomichi (JR Line)
– Mikage (Hanshin Line)

สำหรับพวกเราที่ถือ JR อยู่แล้ว เลยใช้ JR ไปที่ Rokkomichi แล้วต่อรถบัสสาย 16 ไปที่สถานีเคเบิ้ลคาร์ค่ะ

DSC_6189

พอขึ้นมาถึงด้านบนเขารกโกะแล้ว เราก็เดินเล่นไปดูวิวกันก่อนค่ะ ซึ่งจะอยู่บริเวณ Tenran Cafe นะคะ

DSC_6196

จากนั้นก็ไปที่ป้ายรถบัส ซึ่งจริง ๆ แล้วก็จะอยู่ด้านหน้าของสถานีเคเบิ้ลคาร์นั่นแหละค่ะ

รถบัสที่รวมอยู่ในพาส ที่เราใช้ได้ก็คือสาย 1 นี้เท่านั้นค่ะ (มีสองสายคือ 1 กับ 2 ค่ะ)

IMG_4237

รถบัสก็หน้าตาประมาณนี้ วิ่งเป็นวงกลมวน ๆ ไปค่ะ

IMG_4238

สต็อปแรกที่เราไปก็คือ Rokkosan Snow Park ค่ะ

IMG_4230

เป็นที่แรกในทริปนี้เลยที่เราเจอหิมะค่ะ ก็ไหน ๆ มาหน้าหนาวทั้งทีเนอะ เคโกะก็เลยพาเพื่อนมาให้สัมผัสกับหิมะกันแบบเต็ม ๆ ค่ะ ซึ่งลานหิมะที่นี่เป็นลานเดียวในทริปที่เราจะผ่านและแวะมาได้

แต่พอซาวด์เสียงเพื่อน ๆ ดู ทุกคนมีหน้าตาแบบ เออ ชั้นพอใจกับหิมะด้านหน้าแล้วอ่ะ ไม่เข้าแล้วกัน ประมาณนี้เลยค่ะ ก็เลยได้แค่มาสต็อปอยู่ด้านหน้าอะนะ ^^”

จากนั้นเราก็วน ๆ ต่อไปยัง Rokko Garden Terrace / Rokko-Shidare Observatory ค่ะ บริเวณนี้หิมะหนักแน่นมาก ๆ ก็ได้ถ่ายรูปกับหิมะกันสนุกไปอีก

DSC_6211

เดิน ๆ มาแถว ๆ Observatory นิดหน่อย แต่ไม่เห็นมีทางขึ้นไปถ่ายรูปแบบในโบรชัวร์แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวได้ ก็เลยได้แค่นี้ค่ะ

DSC_6221

เราเริงร่ากับหิมะบริเวณนั้นอยู่พักใหญ่มาก ๆ แล้วระหว่างรอรถบัสกลับมาที่สถานีเคเบิ้ลคาร์ หิมะก็ตกปรอย ๆ พอดี ถ่ายรูปกันต่ออย่างสนุกสนานได้อีก

เคโกะเองมาเจอหิมะหลายรอบแล้ว ก็ยังสนุกแบบหนาว ๆ อยู่ค่ะ 555

วนกลับมาที่ Tenran Cafe อีกรอบนึง คราวนี้เราเข้าไปนั่งจิบชา ชิมขนมรอพระอาทิตย์ตกดินค่ะ

DSC_6223

เพื่อน ๆ สั่งแพนเค้กมาทานเล่น ตัวเคโกะเองก็เป็นเค้กเซ็ทมีชาร้อนด้วย

IMG_4265

แพนเค้กก็นุ่มอร่อยดีอยู่ค่ะ ส่วนเค้ก เคโกะว่าเฉย ๆ นะ

IMG_4266

พระอาทิตย์ตกดินแล้วก็ถ่ายรูปอีกนิดหน่อย ก่อนจะลงเขากลับที่พักกันค่ะ

DSC_6226

จริง ๆ ส่วนตัวแล้วก็ยังมองว่าสามารถเที่ยวในเมืองโกเบ 1 วันและที่บนเขารกโกะ 1 วันได้นะคะ เพียงแต่ว่าเที่ยวนี้มีเวลาให้ 1 วันกับโกเบค่ะ ในฐานะที่เคโกะเป็นคนวางแพลนทริปทั้งหมดก็เลยเลือกเอาที่น่าสนใจ รวบรัดให้ลงได้ใน 1 วันอะนะคะ ก็เลยดูจะกระชับและรวบรัดไปหน่อยนึง ^^”

เกาะหน้าเพจกันได้ค่ะ https://www.facebook.com/thisiskeigo/

แล้วเจอกันใหม่ในโพสต์ถัดไปค่ะ อาจจะมีเซอร์ไพรส์ มีรีวิวอะไรบางอย่างจะมาลัดคิว 5555 

 

Uji

สวัสดีค่ะ โพสต์นี้ขอเล่าถึงเมืองเล็ก ๆ เมืองนึงที่เคโกะรู้สึกว่าน่าสนใจดี กับเมืองที่ชื่อว่า “อุจิ” หรือ Uji (宇治市) ค่ะ

เมืองนี้ จริง ๆ เคโกะได้ยินชื่อมาจากพี่ชายที่เคยอยู่ญี่ปุ่นมาแล้วหนนึง เค้าแนะนำเมืองนี้มาให้ ซึ่งอยู่ในภูมิภาคคันไซ ไม่ไกลกันนักกับโอซากะหรือเกียวโต (หากยึด 2 เมืองนี้เป็นจุดศูนย์กลางอะนะคะ) เคโกะเองที่เป็นคนวางแพลนทริปญี่ปุ่นนี้ทั้งหมด ก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ ยัดเมืองนี้ลงไปในแพลนเฉยเลย (555)

เอาล่ะ เมืองนี้มีอะไรดี ?

สำหรับคอชา ชอบดื่มชา ชอบชาเขียว จะต้องรู้จักเมืองนี้ค่ะ เพราะเมืองนี้มีชาเขียวที่โด่งดังมาก ๆ เรียกได้ว่า ชาเขียวชั้นดีต้องมาจากเมืองนี้เท่านั้นเลยล่ะค่ะ บางแพกเกจจิ้งที่มีชาเขียวเป็นส่วนประกอบก็มักจะอ้างถึงบ่อย ๆ ว่าเป็นชาเขียวอุจิ หรือ อุจิมัทฉะ เลยเชียวนะ อะไรทำนองนี้ค่ะ

เคโกะเดินทางมาเมืองนี้จากนารานะคะ ซึ่งถ้าดูแผนที่แล้ว ก็จะเป็นทางเดียวกันค่ะ แล้ววนกลับเข้าโอซากะได้เลยด้วย คือดีย์~ (อย่างที่บอกไปแล้วว่าเคโกะใช้วิธีไปเช้าเย็นกลับ พักที่เดิมตลอดทั้งทริปนะคะ)

เรานั่งรถไฟมาถึงอุจิแล้วก็แวะศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวซักเล็กน้อย ถามนู่นนี่นั่น แล้วก็ได้แผนที่และเส้นทางการเดินเยี่ยมชมมาค่ะ เรามีเวลากันน้อย พนง.เลยแนะนำได้แค่ไปชมพิธีชงชา และวัดเบียวโดอิน (Byodoin Temple) ค่ะ

ออกจาก JR Uji station เราเลี้ยวซ้าย แล้วเดินตรงไปเรื่อย ๆ ระยะทางประมาณ 2 ท้อใจ (กลางอากาศที่หนาวอยู่ ถ้าอากาศสบาย ๆ น่าจะแค่ท้อใจเดียวค่ะ 555) ก็จะเจอกับโทริอิหน้าตาประมาณนี้ แปลว่าเรามาจวนจะถึงแล้วค่ะ

DSC_6114

ก็เลี้ยวขวาเดินไปตามถนนแคบ ๆ เลยค่ะ ตลอดทั้งเส้นนี้ก็จะมีร้านของกินเล่น และร้านขายชาเขียวทั้งสองฝั่งถนนเลยค่ะ คืออะไร ๆ ก็เป็นชาเขียวไปหมดอะ คอชาอย่างเคโกะเห็นแล้วก็แทบอยากพุ่งใส่ซะทุกร้านเลยค่ะ 555

พอเดินผ่านวัดเบียวโดอินมานิดหน่อย จะมองเห็นแม่น้ำอุจิ ซึ่งจริง ๆ แล้วในเว็บ japan-guide เองบอกว่ามีการล่องเรือชมวิวทิวทัศน์ด้วย แต่น่าจะเพราะอากาศหนาว น้ำในแม่น้ำเลยแห้ง ๆ และมีการก่อสร้างอย่างที่เห็นด้วยค่ะ (ข้อมูลวันที่ไป 24 Jan 2018 ค่ะ)

DSC_6118

มีป้ายบอกทางอยู่ ไม่หลงแน่นอนค่ะ

DSC_6119

และเนื่องจากเรามาถึงก็บ่ายมากแล้ว ก็เลยพุ่งไปที่ Taihoan Teahouse ก่อนเลยค่ะ ซึ่งจะตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ที่อยู่ใกล้ ๆ กับวัดเบียวโดอินค่ะ ค่าบริการในการเข้าร่วมชมพิธีชงชานั้น สนนราคาอยู่ที่ 500Y ค่ะ

IMG_4187

ชำระเงินเรียบร้อยแล้ว พนง.ก็จะเชิญเราไปที่เรือนใกล้ ๆ กัน เพื่อวางสัมภาระและถอดเสื้อชั้นนอกออก (เสื้อกันหนาวอะไรงี้ค่ะ) และเข้าไปนั่งในห้องพิธีชงชาค่ะ

DSC_6116

ตลอดพิธีชงชา จะมีพนง.อธิบายเป็นภาษาอังกฤษตามลำดับขั้นตอนจนกระทั่งจบพิธีการค่ะ

บรรยากาศในห้องชงชานะคะ เคโกะขอเค้าถ่ายตอนที่เสร็จพิธีแล้วค่ะ แต่ในระหว่างพิธีนั้น ห้ามถ่ายรูปค่ะ

IMG_4188

สำหรับการชงชานั้น เคโกะถามเพื่อน ๆ แล้ว เพื่อน ๆ ก็ไม่ใช่คอชาเท่าไหร่อะนะคะ ก็เลยจะว่าเฉย ๆ แต่สำหรับตัวเคโกะเองที่ชอบดื่มชาอยู่แล้ว ก็เลยรู้สึกว่ามันอร่อยมากกกกกกค่ะ

เพราะงั้นก็แล้วแต่รสนิยมแต่ละคนนะคะ ถ้าชอบดื่มชา โดยเฉพาะชาเขียวมัทฉะด้วยแล้ว เคโกะแนะนำอย่างแรงค่ะ ^^

จากนั้นเราก็เดินกลับไปเข้าวัดเบียวโดอินต่อ มีค่าเข้าด้วยราคา 600Y ค่ะ

วัดนี้มีอะไรดี?

วัดนี้คือวัดที่อยู่ด้านหลังของเหรียญ 10 เยนค่ะ ^^

จ่ายค่าเข้าวัดเสร็จ ก็จะเจอกับมุมนี้ ซึ่งเป็นด้านหน้าวัดนะคะ ยังไม่ใช่ภาพวัดที่อยู่ด้านหลังเหรียญ 10 เยนค่ะ

DSC_6121

เดินวนมาด้านหลังค่ะ

DSC_6127

เอียง ๆ หน่อย ใช่มั้ยน้าาาา

DSC_6144

เป๊ะเลยค่ะ ^^

IMG_4198

ถ่ายรูปกันตรงนี้จนหนำใจแล้วก็เดินต่อไปอีกนิดหน่อยค่ะ จะมีพิพิธภัณฑ์เบียวโดอิน (Byodoin Museum) อยู่ สามารถเข้าไปเดินชมได้ ไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มค่ะ

DSC_6148

ด้านใน ถ้าจำไม่ผิด ก็จะจัดแสดงพวกข้าวของเครื่องใช้ยุคสมัยก่อนรวมไปถึงศิลปะทางพุทธศาสนาหรือชินโตด้วยอะค่ะ

พอวน ๆ ด้านในเดินออกมาก็จะคล้าย ๆ กับว่าเดินวนรอบวัดค่ะ (ด้านในวัดต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกหน่อย ถึงเข้าด้านในได้ — พวกเราเลือกที่ไม่เข้านะคะ)

แค่รอบ ๆ ก็มีมุมสวย ๆ ให้ถ่ายรูปเยอะเลยค่ะ

DSC_6153

สะท้อนกับพื้นน้ำกันไป เจอช่างภาพมาก้ม ๆ เงย ๆ เก็บช็อตภาพสะท้อนผืนน้ำกันอยู่เหมือนกันนะคะ

DSC_6159

ขากลับ เราก็แวะชิมขนมกินเล่นซะหน่อย เลือกมาได้เป็นทาโกะยากิชาเขียวและเกี๊ยวซ่าชาเขียวค่ะ

IMG_4200IMG_4202

จากนั้นก็เดินช้อปปิ้งของที่ระลึกเกี่ยวกับชาเขียว ๆ เสียหน่อย

เคโกะไปได้คิทแคทชาโฮจิฉะเมืองอุจินี้มาจากร้านแถว ๆ นี้ล่ะค่ะ ซึ่งถ้าตัดความหวานเวอร์ของคิทแคทออกไปแล้ว อร่อยมากกกกกกค่ะ แนะนำเช่นกัน ซึ่งตัวนี้เคโกะยังไม่เห็นที่อื่นเลยนะคะ นอกจากที่นี่อะค่ะ ^^”

เสร็จสรรพ เราก็โต้ลมหนาวกลับไปที่สถานี เพื่อนั่งรถไฟกลับที่พักกันค่ะ

DSC_6164

โดยรวมแล้วกับเมืองนี้ ถ้าชอบชาเขียว ก็มาเถอะค่ะ ^^”

ติดตามกันในโพสต์ถัดไปนะคะ จะรีบไล่เรียงทริปญี่ปุ่นให้เสร็จไว ๆ ค่ะ แต่จะขอหายแว้บไปซักสามสี่วันก่อนนะ แหะๆ

ระหว่างนี้ไปพูดคุยหรือทักทายกันที่เพจได้ค่ะ
https://www.facebook.com/thisiskeigo/

 

Nara

สวัสดีค่ะ โพสต์นี้มาสั้น ๆ หน่อยนะคะ อย่างที่รู้กันดีในกลุ่มคนที่เคยไปเที่ยวเมืองนารา ประเทศญี่ปุ่นมาแล้วว่าเมืองนี้ก็มีเด่น ๆ แค่วัดและกวางค่ะ เหมาะกับการจัดทริปแบบ 1-day trip หรือบางครั้งก็แค่ครึ่งวันด้วยซ้ำ ซึ่งเคโกะเองก็จัดไปแค่ครึ่งวันเช่นกันค่ะ แต่พอคุยกับจนท.ที่บูธ tourist information แล้ว ก็พอจะจัดแบบสบาย ๆ 1 วันเต็มได้นะคะ

Spot name : Todaiji Temple / วัดโทไดจิ / 東大寺 / Toudai-ji
Location : JR Nara station, take bus or 45-minute walk / Kintetsu Nara station, take bus or 30-minute walk
Websitehttp://www.todaiji.or.jp/index.html
Opening hours : 7:30-17:30 (Apr – Oct), 8:00-17:00 (Nov – Mar)
Entrance fee : 600Y
Visited date : 24 Jan 2018

เช้าวันนั้นเป็นวันที่แย่มาก ๆ วันนึงค่ะ เพราะเคโกะไม่ค่อยสบาย อาการหนักอยู่ แม้จะกินยาแล้ว แต่ยายังไม่ออกฤทธิ์ ทรมานสุด ๆ เลยค่ะ เลยทำให้ไม่ค่อยมีกะจิตกะใจถ่ายรูปเท่าไหร่

เรานั่งรถไฟไปลงที่ JR Nara station ภายในสถานีจะมีบูธ tourist information อยู่ค่ะ มีภาษาอังกฤษและภาษาอื่น ๆ แล้วแต่ช่วงเวลาที่พนง.จะอยู่ทำการว่าภาษาอะไรบ้าง (เช่น จีน, เกาหลี อะไรงี้อะค่ะ) ช่วงที่ไป เจออังกฤษกับจีนพอดี ภาวะที่ร่างพัง ๆ แบบนั้น เคโกะก็เลยถลาเข้าไปช่องภาษาจีนค่ะ คุยโช้งเช้ง ๆ ไป ปล่อยให้เพื่อน ๆ ยืนงง -..-”

พนง.แนะนำสถานที่ที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมาให้สองสามจุด ซึ่งเหมาะกับ 1-day trip มาก ๆ ค่ะ แต่พวกเราแพลนมาแล้วว่าจะอยู่แค่ครึ่งวัน ก็เลยต้องผ่านไปก่อน และถ้าเราไปตามที่พนง.แนะนำมานั้น การใช้ 1-day bus pass เป็นการตอบโจทย์ที่ดีมากค่ะ เคโกะจำราคาไม่ได้แน่นอนนะคะว่ากี่เยน แต่ถ้าใช้มากกว่า 3 เที่ยว คุ้มเลยค่ะ ซึ่งพวกเรา อย่างที่บอกเนอะ เราอยู่กันครึ่งวัน และไปแค่วัดโทไดจิที่เดียวค่ะ ไปกลับก็ไม่คุ้มที่จะซื้อพาสรถบัส ก็เลยไม่ได้ใช้ค่ะ จ่ายเป็นเที่ยว ๆ เอาแทน

รถบัสจากสถานี JR Nara มีหลายสายอยู่ที่ไปวัดโทไดจิได้ค่ะ พอลงจากรถบัสปุ๊บ เราก็ได้เวลาลัลล้ากับน้องกวางที่มาเดินเล่นรอต้อนรับพวกเราอยู่อย่างมากมายจริงๆ

DSC_6090

น้องกวางน่าร้ากกกกกก

ที่นี่เค้าจะไม่กักขังกวางนะคะ แต่จะปล่อยให้เดินเล่นอย่างอิสระ เพราะเค้าถือกันว่ากวางคือสัตว์เลี้ยงของเทพเจ้าค่ะ เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ เลยจะไม่ทำร้ายมันค่ะ

DSC_6095

ตลอดสองข้างทางที่จะเดินไปวัด กวางก็จะเยอะมาก ๆ และมีคนขายอาหารกวางอยู่เป็นระยะ ๆ ด้วยค่ะ อาหารเลี้ยงกวางที่เคโกะจำได้ ก็เป็นเซมเบ้ล่ะนะคะ (กวางกินเซมเบ้ 555) ซึ่งเวลาเราซื้ออาหารกวางมาแล้ว กวาง ๆ ก็จะรู้นะคะว่านั่นคืออาหารของชั้น~ บางทีก็จะเข้ามาแย่งค่ะ เราอาจจะต้องระวังนิดนึง และเวลาให้ก็คือให้เค้าไปเลยอะค่ะ อย่าไปแกล้ง ๆ หรืออย่าไปค้างเพื่อถ่ายรูปอะไรงี้นะคะ เค้าก็จะออกแนวรำคาญหน่อย ๆ บางครั้งก็วิ่งไล่ค่ะ เพราะไปแกล้งมันเกินเหตุ (อันนี้เห็นนทท.จีนกลุ่มนึงโดนกวางวิ่งไล่ด้วยอะ >< )

แล้วก็เดินฝ่าฝูงกวางมาจนถึงบริเวณทางเข้าวัดจนได้ค่ะ

DSC_6102

ประตูสองชั้นตามแบบวัดโบราณของญี่ปุ่นนะคะ

DSC_6105

บริเวณด้านนอกนี้ทั้งหมดเรายังสามารถเดินเล่นได้อยู่โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ค่ะ แต่พอผ่านจากประตูชั้นที่ 2 ไปแล้ว จะมีทางเข้าตัวอาคารวัดจริง ๆ ตรงนี้ถึงจะต้องเสียค่าผ่านประตู 600 เยนค่ะ

พวกเราเลือกที่จะไม่เข้า เพราะอิ่มกับวัดที่เกียวโตมาแล้ว ฮาาาา~

ก็เลยได้แต่ถ่ายรูปอยู่บริเวณด้านนอก ก่อนจุดตรวจตั๋วค่ะ

DSC_6110

ประตูวัดเองก็มีศิลปะแบบญี่ปุ่นดูอลังการอยู่นะคะ

DSC_6113

กับนาราก็จะสั้น ๆ ประมาณนี้

แล้วก็มีรายละเอียดการเที่ยวเมืองนี้เพิ่มเติมแปะเป็นลิ้งค์ไว้ให้ตามไปศึกษากันต่อเองนะคะ
https://www.jnto.go.jp/eng/pdf/regional/kinki/nara_shi.pdf
https://www.jnto.go.jp/eng/pdf/pg/pg-507.pdf

แล้วมาเจอกันโพสต์หน้ากับเมืองที่เคโกะภูมิใจนำเสนอค่ะ

ฝากเพจไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ ^^
https://www.facebook.com/thisiskeigo/

Kyoto : Kinkakuji + Kiyomizu Dera

สวัสดีวันฝนตกที่เล่าเรื่องทริปฤดูหนาวค่ะ เคโกะว่าจะไม่ให้เขียนโพสต์ลากยาวไปถึงหน้าหนาวใหม่อีกรอบนะคะเนี่ย หน้าฝนแล้ววววว ^^”

สำหรับเมืองเกียวโต เมืองที่เต็มไปด้วยวัดวาอารามนั้น เคโกะเคยไปมาแล้วหนนึง ก็สามารถเที่ยวชมวัดได้ 4 วัดในวันเดียว แต่สำหรับครั้งนี้นั้น ก็งง ๆ อยู่เหมือนกันว่าสามารถไปได้แค่ 2 วัดเองค่ะ ^^”

ตามมากันเลยนะคะ

ก่อนอื่นใด การเดินทางในเกียวโตนั้น แนะนำว่าเป็นรถบัสจะสะดวกสุดค่ะ เนื่องจากสามารถเข้าถึงสถานที่ท่องเที่ยวได้มากกว่ารถไฟฟ้านะคะ ซึ่งเราสามารถซื้อตั๋วรถบัสเป็นแบบ 1-day pass ได้เลยค่ะ ในราคาเพียง 600Y เท่านั้นค่ะ ซื้อได้ที่บัสออฟฟิศ, บูธขายพาส หรือแม้แต่บนรถบัสก็มีขายค่ะ (แต่ก็มีโอกาสที่ตั๋วจะหมดนะคะ แนะนำว่าควรซื้อที่ขายตั๋วดีกว่าค่ะ) ส่วนพวกเราเองซื้อที่บัสออฟฟิศที่ด้านหน้าสถานีเกียวโตค่ะ

รายละเอียดเกี่ยวกับพาสตัวนี้นะคะ
https://www2.city.kyoto.lg.jp/kotsu/webguide/en/ticket/regular_1day_card_bus.html

ได้ตั๋วแล้วเค้าจะให้แผนที่มาด้วย ดูให้แม่น ๆ ค่ะ จะออกลายตาไปสักหน่อย เพราะสายรถบัสเค้าเยอะจริง ๆ เลยทำให้ครอบคลุมทั้งเมืองมาก ๆ ค่ะ แต่ก็ทำให้เคโกะนั่งรถผิดทางไปแล้ว T.T (บอกเลยว่านั่งรถผิดทางเนี่ย เสียเวลาไปพอสมควรเลยค่ะ ><~ )

IMG_4160

ตั๋วพร้อม สกิลการอ่านแผนที่พร้อม ก็เริ่มเดินทางกันเลยค่ะ

** เคโกะจะไม่ลงรายละเอียดเส้นทางรถบัสการเดินทางไว้ให้นะคะ แต่สามารถดูได้จากแผนที่ที่เค้าให้มาพร้อมกับตั๋วรถบัสค่ะ ^^”

1. Kinkakuji Temple / 金閣寺 / วัดคินคะคุจิ
Website : https://www.jnto.go.jp/eng/spot/shritemp/kinkakuji.html
Entrance fee : 400Y
Opening hours : Everyday from 9AM-5PM
Visited date : 23 Jan 2018
Used Pass : Kyoto bus 1-day pass

หลังจากจ่ายค่าผ่านประตูแล้ว ก็จะมีป้ายเล็ก ๆ ตั้งบอกอยู่ด้านหน้าว่าไม่อนุญาตให้นำขาตั้งกล้องมาใช้นะคะ

IMG_4161

แล้วเส้นทางการเดินชมวัดก็จะเป็นเส้นทางแบบ one-way ค่ะ วน ๆ ไปตามเส้นทางจนกระทั่งถึงทางออกเลยค่ะ

มุมบังคับเนอะ มาแล้วไม่ถ่ายก็เหมือนไม่ได้มาค่ะ ฮาาาา..

DSC_6032

แล้วก็เดินวนตามเส้นทางของเค้าต่อไป ระหว่างทางก็มีสวนสวย ๆ ให้ดูบ้าง มีคำอธิบายประกอบบ้างนิดหน่อย ซึ่งก็เป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมดค่ะ

DSC_6055

ชมวัดกันเสร็จแล้ว เราก็ตัดสินใจไปหาอะไรหม่ำกันที่ตลาดนิชิกิค่ะ เปิดกูเกิ้ลแม็พประกอบกัน ตรงนี้แอบมีเพี้ยน ๆ หน่อย ๆ เลยทำให้มาลงรถที่ไหนสักแห่งนึง เดินข้ามสะพานข้ามแม่น้ำแล้วก็รู้สึกว่าวิวสวยดีค่ะ น้ำก็ยังใส ๆ อยู่ ให้ความรู้สึกสดชื่นมากจริง ๆ อยากให้แม่น้ำลำคลองในกทม.เป็นแบบนี้บ้างนะคะ

IMG_4169

แล้วก็เดิน ๆ ตามกูเกิ้ลแม็พไปจนเจอกับตลาดนิชิกิ (Nishiki Market) ค่ะ

IMG_4171

ซึ่งตลาดนี้เนี่ย ก็จะเป็นถนนทางเดินยาว ๆ ล่ะค่ะ มีร้านขายอาหารทั้งปรุงแล้วและยังไม่ปรุงให้จับจ่ายซื้อหาทานกัน

IMG_4172

เสร็จสรรพเรียบร้อย เราก็เดินทางต่อไปอีกวัดนึงค่ะ

2. Kiyomizu Dera / 清水寺 / วัดคิโยมิสึ / วัดน้ำใส / คิโยมิซึเดระ 
Websitehttp://www.kiyomizudera.or.jp/en/
Entrance fee : 300Y
Opening hours : Every day from 6AM but closed in vary hours, normally by 6PM
Visited date : 23 Jan 2018
Used pass : Kyoto bus 1-day Pass

ครั้งก่อนที่มายังปิดซ่อมแซมอยู่เลย ครั้งนี้มาก็เลยรู้สึกว่ามีบางอย่างที่เปลี่ยนไป ไม่เหมือนจากเดิมค่ะ

ด้านหน้าทางเข้าวัดค่ะ

DSC_6061

ที่นี่ก็จะเป็นเส้นทางให้คนเดินเช่นกัน แต่ต่างจากวัดคินคะคุจิอยู่หน่อย ๆ ตรงที่ไม่ได้ฟิกซ์มากขนาดนั้นค่ะ เดินไปแล้วก็เดินย้อนกลับได้ ^^” (แต่ก็ไม่ค่อยเดินย้อนกันนะ)

พอเดินผ่านอาคารแรกด้านหน้าไปแล้ว ด้านหลังแต่เดิมเคโกะจำไม่ได้แล้วนะคะว่าเดิมคืออะไร แต่ตอนนี้มาเป็นแหล่งรวมเครื่องราง และจุดที่ขอพรเรื่องความรักเลยล่ะค่ะ

เคโกะถึงกับสตั๊นท์ไปสามวิฯ ..

DSC_6067

คนเยอะมากจริง ๆ

DSC_6071

ในขณะที่เพื่อนคนนึงก็เดินวุ่นวายไปกับการขอพรให้ได้เจอเนื้อคู่ (อิอิ 555) และอีกคนก็วุ่นวายกับการขอพรให้ครองคู่รักไปนาน ๆ (อิอิ) — มีการเผาเพื่อนค่ะ ฮาาาา อีกคนมายืนรอเป็นเพื่อนเคโกะ (ทำไมเธอไม่ไปขอพรขอเนื้อคู่กะเค้า ฮึ?) และตัวเคโกะเองที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องเนื้อคู่ไปแล้ว (ฮาาาา) ก็เลยมาเดินเล่นไปมาดูบรรยากาศและเก็บรูปมาค่ะ

ตรงนี้เป็นจุดที่เค้าให้อธิษฐานกันออกแนวดูเนื้อคู่อะค่ะว่าคนที่เราคบอยู่จะใช่เนื้อคู่เรามั้ย หลับตาอธิษฐานแล้วเดินไปให้ถึงอีกจุดหนึ่ง ถ้าถึงพอดีก็แปลว่าถูกต้องค่ะ .. น่าจะประมาณนี้นะคะ

DSC_6073

แล้วก็มีป้ายอายุปีชงด้วย สามช่องบน (ตัว 女 ในช่องซ้ายสุด) คือผู้หญิงค่ะ ส่วน 3 ช่องล่าง (男) คือผู้ชายนะคะ ก็จะประมาณว่ามี 3 ช่วงอายุของทั้งชายและหญิงที่จะมีความซวยสุด ๆ ค่ะ เค้าจะนับเป็นช่วงอายุ 3 ช่วง คือปีที่ตรง และปีก่อนหลัง 1 ปี รวมเป็นช่วง 3 ปีที่ซวยค่ะ ตัวสีแดงคือปีซวยที่ตรงปี ช่องซ้ายและขวาก็คือปีก่อนหน้าและหลัง 1 ปีค่ะ และในป้ายนี้เป็นการนับอายุแบบญี่ปุ่นนะคะ

อันนี้เคโกะเอาให้พี่ชายที่เคยอยู่ญี่ปุ่นมาดู เค้าก็ไม่ได้เชื่อเรื่องนี้อะนะคะ เลยบ่น ๆ นิดหน่อยประมาณว่า ไร้สาระค่ะ ฮาาาาา

ตัวเคโกะเอง ตรงปีซวยพอดี แถมก่อนหน้านี้ที่อาคารด้านหน้าของวัดนี้ก็ไปเสี่ยงเซียมซีมา ได้ใบไม่ดีมาด้วย ก็กำลังคิดอยากได้เครื่องรางสักอันไว้พกให้อุ่นใจค่ะ เจอคำของพี่ชายเข้าไปก็สะอึกไปเล็กน้อย (ฮาาาา) ก็เลยหมดคำพูดค่ะ

เอาเป็นว่า ดูกันขำ ๆ แล้วแต่ความเชื่อแต่ละคนละกันนะคะ ^^”

IMG_4177

เราโอ้เอ้กันอยู่แถว ๆ นี้อยู่นานพอควร (แสดงให้เห็นว่าคนวัยนี้เริ่มมองหาคู่ชีวิตกันแล้วสินะคะ ฮาาาา) กว่าจะกลับออกจากวัดได้ก็เริ่มโพล้เพล้แล้ว เลยได้ช็อตนี้มาโดยบังเอิญ

เคโกะว่าสวยนะ ของจริงสวยกว่ามาก ๆ ค่ะ

IMG_4178

จากลากันไปกับเกียวโตเพียงเท่านี้ค่ะ แล้วกลับมาเจอกันในโพสต์หน้านะคะ

ฝากเพจไว้ในอ้อมใจด้วยค่ะ ^^”
https://www.facebook.com/thisiskeigo/

Universal Studio Japan

สวัสดีค่ะ โพสต์นี้เป็นจุดบอดของทริปญี่ปุ่นของเคโกะเมื่อต้นปีที่ผ่านมาเลยล่ะค่ะ ^^”

จุดบอดที่ว่าก็คือ เป็นวันเดียวในทริปที่ฝนตกค่ะ แล้วเราก็ต้องจำเพาะมาสวนสนุกเอาวันที่ฝนตกเนี่ยนะ อากาศหนาวไม่พอ ฝนตกด้วย ก็ยิ่งทำให้หนาวค่ะ ตัวเคโกะเองมีรองเท้าบูทที่กันน้ำกันลมได้ก็เลยสบายไป ส่วนเพื่อน ๆ ในกลุ่มที่ไปด้วยกันนั้นใส่รองเท้าผ้าใบหมดค่ะ น้ำฝนซึมเข้าได้ง่าย และทำให้เท้าเย็นกันไปตาม ๆ กัน .. เพราะงั้นเรื่องรองเท้าก็สำคัญนะคะ ไปต่างประเทศในฤดูหนาวก็ใส่ใจเรื่องรองเท้ากันด้วยนะคะ ^^”

Spot Name : USJ / Universal Studio Japan
Website : https://www.usj.co.jp/e/
Location : Osaka
Transportation : take train to Universal City station
Visited date : 22 Jan 2018
Pass used : USJ Day Pass (7,600 Yen) + USJ Express-4 (~1,900 BHT)
Booking via : klook

ก่อนมา เคโกะก็แอบภาวนาบวกกับหวั่นใจหน่อย ๆ เพราะพยากรณ์อากาศในวันที่ไปนั้นไม่ดีเอาซะเลยค่ะ ตั้งใจจะไปตั้งแต่เช้าตอนที่ประตูสวนสนุกเปิด แต่พวกเราก็ออกสายอีกตามเคย นั่งรถไฟไปจนถึงสถานีปลายทาง ออกมาก็พบกับสีสันสไตล์ตะวันตกที่ดูน่าตื่นตาตื่นใจค่ะ

DSC_6006

ซุ้มประตูทางเข้าอันเป็นเอกลักษณ์ มีอย่างนี้ทุกที่

DSC_6009

แล้วก็ลูกโลกอันเป็นสัญลักษณ์ของ Universal Studio ค่ะ

DSC_6012

จากนั้นเราก็เอาคูปองหรือวอเชอร์ที่ได้จากการจองตั๋วผ่านเว็บ klook ซึ่งจะมี QR Code อยู่ทั้งหมดตามจำนวนคนที่เราซื้อตั๋ว ก็ใช้ได้ 1 คน/ 1 ใบค่ะ แนะนำกันต่อ ๆ มาว่าให้ปริ้นท์แบบคม ๆ ชัด ๆ (Laser Printer คือดีสุดค่ะ) แล้วก็ให้สแกนที่ประตูตรวจตั๋วเพื่อผ่านเข้าด้านในได้เลย

เข้ามาด้านใน ช่วงแรก ๆ ก็แอบเหมือนที่ USS (Singapore) อยู่นะคะ

DSC_6016

ช่วงเช้าอากาศดีพอใช้ได้ทีเดียว แต่กลับไม่ค่อยได้ถ่ายรูปเท่าไหร่ – -”

DSC_6020

ในตั๋ว Express Pass ของเราที่จะเข้าโซนของ Harry Potter นั้นคือเป็นช่วงบ่ายค่ะ ช่วงเช้าเราก็เลยเตร็ดเตร่กันอยู่โซนอื่น ๆ ไปก่อน

แต่แล้วพยากรณ์อากาศก็แม่นจริงจริ๊งงงงง

พอตกบ่ายที่เราต้องเข้าโซนแฮร์รี่พอตเตอร์ ฝนก็เทเลยค่ะ T^T

คือแบบ สงสารเพื่อนอะ เพื่อนเป็นแฟนพันธุ์แท้ของเรื่องนี้เลยค่ะ แล้วตั้งหน้าตั้งตารอมาเยี่ยมชมโซนนี้มาก ๆ T^T

ด้านหน้าของโซน Harry Potter ก็จะมีรถที่ตามท้องเรื่องคือรอน วีสลีย์กับแฮร์รี่ถือวิสาสะขโมยรถของพ่อมาขับเพื่อมาโรงเรียนนะคะ

IMG_4125

เข้าไปด้านใน ก็จะเจอกับรถไฟขบวนพิเศษไปฮอร์กวอร์ตค่ะ

IMG_4127

ร้านฮันนี่ดุ๊คส์ก็มี ด้านในก็จะขายขนมตามท้องเรื่องเลยล่ะค่ะ

IMG_4129

ลานกว้างตรงกลางก็มีบูธขายบัตเตอร์เบียร์ เพื่อนก็ไปซื้อมาชิมกัน โดยส่วนตัวเคโกะว่ามันออกหวาน ๆ เลี่ยน ๆ ไปหน่อยอะค่ะ ถ้าชอบหวาน ๆ รสคาราเมล ๆ หน่อย ก็น่าจะโอเคนะ

IMG_4132

เดินไปเดินมาเจอมุมที่เค้าถ่ายวิวปราสาทด้วย

เห็นเม็ดฝนที่ตกกระหน่ำอย่างชัดเจนเลย T.T

IMG_4134

แล้วก็กบช็อคโกแลตก็มาค่ะ แพกเกจหน้าตาประมาณนี้

IMG_4149

ในร้านขายของที่ระลึก ก็จะมีไม้กายสิทธิ์จำหน่ายที่เป็นของตัวละครต่าง ๆ ในเรื่องด้วยล่ะค่ะ

IMG_4151

เดินเล่นในโซนแฮร์รี่พอตเตอร์จนหนำใจ (กับฝน) แล้ว เราก็พากันมาเดินต่อในโซนอื่น ๆ กันต่อค่ะ อยู่กันจนค่ำเลย ฝนก็หยุดพอดี … อะไรก๊านนนนนนน T.T

ได้เวลากลับแล้วค่ะ

DSC_6022

ปิดท้ายด้วยร้านอาหารในสถานี Shin-Osaka ละกันเนอะ เพื่อนเป็นคนเลือกร้านค่ะ ก็เลือกเอาร้านแนว ๆ เทปัน คือกะทะร้อน ตรงกลางโต๊ะจะมีกะทะร้อนให้เราผัด ๆ แต่จริง ๆ แล้วอาหารปรุงเสร็จมาแล้วค่ะ แค่เอามาอุ่นให้ร้อน ๆ เฉย ๆ

เซ็ทอัพบนโต๊ะ พร้อมด้วยชื่อร้านนะคะ

ร้าน “เมสเสะ” (めっせ) 

IMG_4154

จานแรกมาไวมาก รู้สึกจะเป็นเบค่อนค่ะ

IMG_4155

แล้วก็เมนูอะไรสักอย่างที่ลืมชื่อไปแล้ว แต่อยู่ในเมนูแนะนำด้วย จะเป็นคล้ายๆ โอโคโนมิยากิ แต่เป็นต้นหอมผัดทั้งจานเลยค่ะ แปลก ๆ ดี ถ้าคนไม่ชอบทานผัก ข้ามได้เลยค่ะ

IMG_4156

ต่อมาเป็นโซบะผัดค่ะ

IMG_4157

ปิดท้ายด้วยโอโคโนมิยากิ หรือที่คนไทยจะเรียกกันว่าพิซซ่าญี่ปุ่นค่ะ

IMG_4158

อาหารโดยรวมกับร้านนี้ ก็ถือว่าโอเคทีเดียว มีเมนูภาษาอังกฤษให้เลือกด้วย (น่าจะต้องขอจากพนักงานค่ะ ดีฟอลท์เป็นญี่ปุ่น) แต่บรรยากาศในร้านจะเน้นไปทางดื่มและพูดคุยกันมากกว่า เสียงจะค่อนข้างดังตามประสาหนุ่มสาวมาเฮฮากินดื่มกันค่ะ และในร้านค่อนข้างร้อน เพราะเป็นอาหารกะทะร้อนเนอะ

ส่วน USJ นั้น ถ้าเป็นแฟนหนังหรือนิยายเรื่อง Harry Potter แล้ว เคโกะก็แนะนำให้มาดูสักครั้งค่ะ ส่วนเครื่องเล่นต่าง ๆ นั้น เคโกะว่าค่อนข้างจะเน้นไปในทาง 3/4 มิติมากไปหน่อย คือ เรานั่งอยู่กับที่แล้วก็ทำความรู้สึกให้เหมือนเราได้ผจญภัยไปในที่ต่าง ๆ ตามแต่ธีมแต่ละเครื่องเล่นกำหนดไว้ ซึ่งเป็นการจำลองอะค่ะ ไม่ได้สัมผัสอย่างนั้นจริง ๆ ก็เลยรู้สึกขาดความสมจริงไปหน่อย

เครื่องเล่นที่เคโกะคิดว่าดี น่าเข้าไปเล่นก็คือ Harry Potter and The Forbidden Journey ส่วนเครื่องเล่นกลางแจ้ง ไม่ได้เล่นเลยค่ะ เพราะฝนตกและอากาศหนาวมาก ไม่มีใครเล่นด้วยเลย T^T

โดยส่วนตัว ถ้ามีโอกาสมาอีกรอบ ก็อยากมาเก็บตกพวกเครื่องเล่นต่าง ๆ ที่พลาด ๆ ไปค่ะ ^^”

แล้วติดตามกันต่อในโพสต์หน้านะคะ ระหว่างนี้แวะพูดคุยกันได้ที่เพจค่ะ ^^

Osaka w 1-day Amazing Pass

สวัสดีค่ะ กลับมาเขียนต่อได้ซะที ทั้ง ๆ ที่ก็ตั้งใจจะเขียนรัว ๆ ซะหน่อย ก่อนที่จะกลายเป็นหน้าหนาวอีกรอบ (ฮาาาา) .. เอ๊ะ หรือรอให้หน้าหนาวอีกรอบดีคะ จะได้เนียน (ฮาาาา)

จริง ๆ แล้วโอซากะนี่เคโกะเคยไปแล้วรอบนึง แต่ครั้งนี้มาอีกรอบกับคนร่วมทางกลุ่มใหม่ ก็เลยจำเป็นต้องไปซ้ำอีกรอบอะนะคะ แต่ก็แอบเลือกที่ที่จะไป (และใช้พาสได้) ที่ไม่ซ้ำจากเดิม ยกเว้นที่ที่เคโกะเห็นว่า เออ มันดีจริง น่าไปแหละ อะไรงี้นะคะ

รีวิวเก่า ยังอยู่ที่บ้านบล็อกแกงค์หลังเดิมค่ะ คลิกอ่านได้ที่นี่นะคะ

Location : Osaka
Pass : Osaka Amazing Pass 1-day
Visited date : 21 Jan 2018

ตอนแรกเคโกะวางโปรแกรมไว้ค่อนข้างจะซ้ำรอยในทริปก่อนเลย คือเริ่มต้นด้วยการไปทานซุชิเอนโด แต่พอไปหาข้อมูลเพิ่มเติม ปรากฏว่าร้านปิดวันอาทิตย์ค่ะ (อดกันไปตามระเบียบ – -” ) เราก็เลยมาเริ่มสตาร์ทการใช้พาสของเราที่ปราสาทโอซากะ หรือ โอซากะโจ (Osaka Castle)

การเดินทาง ใช้ subway ไปลงสถานี Tanimachi 4-chome exit 1B, 9 หรือสถานี Morinomiya exit 1, 3B หรือสถานี Osaka Business Park exit 2 หรือสถานี Temmabashi exit 3 หรือสถานี Keihan Temmabashi ก็ได้ค่ะ

เพราะเป็นบริเวณที่กว้างขวางและใหญ่มาก เลยจะอยู่กึ่ง ๆ ระหว่างสถานีต่าง ๆ ก็เลือกเอาตามเส้นทางที่เราสะดวกไปและกลับแล้วกันนะคะ ^^”

ตัวเคโกะเอง เลือกลงสถานี Tanimachi 4-chome แล้วออก exit 9 ค่ะ

IMG_4069

** คำว่า chome นั้นเป็นภาษาญี่ปุ่น อ่านออกเสียงได้ประมาณว่า โจ-เหมะ ค่ะ เอาไว้ใช้เวลาฟังชื่อสถานีเนอะ ^^”

เดินไปซักอึดใจนึงก็ถึงบริเวณปราสาทโอซากะค่ะ ภายนอกก็จะเป็นกำแพงสูง ล้อมรอบไปด้วยคูน้ำแบบนี้ … มากี่รอบ เคโกะก็ยังคงถ่ายรูปวิวเดิมๆ  อยู่เหมือนเดิมเลย – -”

DSC_5865

เดินเข้าไปด้านในตามทาง ก็จะพบกับปราสาทที่ตั้งโดดเด่นเป็นสง่าค่ะ ถ้ามาฤดูดอกซากุระบาน เคโกะว่าน่าจะสวยมาก ๆ ค่ะ

DSC_5890

จะเข้าไปชมด้านใน ก็เสียสตางค์นิดหน่อย แต่ถ้าถือบัตร Osaka Amazing Pass แบบเคโกะแล้ว ยื่นบัตรให้พนักงานสแกนบัตร แล้วก็ผ่านเข้าไปด้านในได้เลยโดยไม่ต้องเสียเงินค่ะ

ด้านในก็จะเป็นประวัติความเป็นมาของปราสาทหลังนี้ รวมไปถึงเจ้าของปราสาทด้วยค่ะ ซึ่งห้ามถ่ายรูปด้านในนะคะ ช่วงที่เคโกะไป มีนักท่องเที่ยวหนาแน่นมาก โดยปกติจะขึ้นลิฟท์เพื่อขึ้นชั้นบนสุด แล้วค่อย ๆ ดูการจัดแสดงวนลงมาชั้นล่างค่ะ แต่ว่าเพราะคนเยอะ พวกเราก็เลยเดินขึ้นบันไดแทน เดินวนดูทีละชั้นแล้วค่อยขึ้นชั้นบน ก็จะไม่ค่อยเรียงลำดับเท่าไหร่ แต่พวกเราก็ไม่ค่อยอินกันอยู่แล้ว (555)

จากนั้นพวกเราก็มาเบรคหาอะไรกินเล่นกันบริเวณด้านหน้าทางเข้าปราสาทค่ะ ซึ่งจะมีซุ้มขายอาหารเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่

อากาศหนาว ๆ ก็จัดซอฟท์ครีมไปสิคะ เข้ากับอากาศสุด ๆ เลยล่ะ

IMG_4076

จากนั้นเราก็เดินออกอีกทางนึงค่ะ คือไปทางสถานี Morinomiya เพื่อจะนั่งรถไฟไปสถานี Osaka Business Park ด้านหน้าของทางเข้าจากสถานี Morinomiya ก็มีรถไฟแบบนี้ด้วย น่าจะรับส่งถึงปราสาทล่ะค่ะ

DSC_5893

จากนั้นก็นั่งรถไฟไปต่ออีก 1 สถานีค่ะ เพื่อไปขึ้นเรือ Aqua-liner ออกจากสถานีมาแล้วก็เดินไปทางซ้ายค่ะ จะเห็นสะพานข้ามแม่น้ำยาว ๆ แบบนี้อยู่ตรงหน้า ก็ข้ามสะพานไปเลยค่ะ ตัวท่าเรือจะอยู่ด้านซ้ายมือค่ะ

DSC_5895

แล้วเราก็ต้องเข้าไปจองเวลาขึ้นเรือก่อน ใช้พาสตัวนี้ก็นั่งฟรีค่ะ มีให้เลือก 3 แบบ ถ้าจำไม่ผิดจะมีแบบ 20, 30 และ 60 นาที ก็ขึ้นอยู่กับระยะทางค่ะ ว่าไปไกลใกล้แค่ไหน แต่พวกเราเลือกแบบสั้น ๆ พอ เอาบรรยากาศค่ะ ฮาาาา

หน้าตาตั๋วที่เค้าจะให้มานะคะ มีสแตมป์เวลาให้เรียบร้อย ซึ่งแนะนำว่าต้องดูเวลาให้ดี ๆ ค่ะ ให้ตรงกับที่เราต้องการ (พนง.จะบอกก่อนว่ามีรอบไหนบ้าง) ไม่งั้นจะขึ้นเรือไม่ได้ค่ะ

IMG_4085

บนตั๋วเรือจะระบุที่นั่งไว้เสร็จสรรพเรียบร้อย ซึ่งเราก็ต้องไปนั่งตามที่ที่ระบุไว้ค่ะ ตัวเรือเป็นกระจกใส สามารถมองทะลุภายนอกได้ คือดีงาม แล้วเราก็นั่งเรือกรี๊ดกร๊าด ถ่ายรูปกันประมาณนึง ก็ถึงท่าเรือที่เราต้องขึ้นแล้วค่ะ

จากนั้นเราก็กระดึ๊บนั่งรถไฟต่อไปยังสถานี Osakako เพื่อมาที่ห้าง Tempozan Market Place ค่ะ ด้านหน้าห้างมีโปรโมทเลโก้แลนด์นิดหน่อย เข้าใจว่าเพิ่งทำเสร็จได้ซักพักนะคะ ในพาสเองก็เพิ่งรวมเข้ามาในปีนี้เองด้วยค่ะ สามารถใช้พาสเข้าได้ฟรีเลย

DSC_5908

สำหรับที่นี่ นอกจากพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ Osaka Aquarium Kaiyukan แล้ว ที่เด่น ๆ อีกอย่างก็คือ Tempozan Ferris Wheel ค่ะ เห็นจากระยะไกลเลยล่ะค่ะ

DSC_5912

ตอนที่ไป ด้านหน้าก็ยังมีประดับไฟอยู่นะคะ รอให้มืดอีกนิด ไฟจะสวยมากเลยค่ะ ตอนที่พวกเรากลับลงมาก็แวะถ่ายรูปเล่นกันอีกพักใหญ่เลยล่ะค่ะ

DSC_5914

แล้วเราก็เข้าไปด้านในห้างกัน ตั้งใจมา Legoland แต่ปรากฏว่าอนุญาตให้เข้าได้เฉพาะเด็ก หรือมีเด็กไปด้วยค่ะ ถ้ามีแต่ผู้ใหญ่ ไม่ให้เข้าเลย อดกันไป

IMG_4092

แล้วพวกเราก็เลยเดินไปต่อคิวขึ้น Ferris Wheel กันแทนค่ะ เลือกได้ว่าเอาแบบพื้นกระจก หรือพื้นธรรมดา ซึ่งไหน ๆ ก็มากันทั้งทีแล้ว เลยเลือกแบบพื้นกระจก ซึ่งคิวจะนานกว่า ก็รอ ๆ ไปค่ะ

ได้ดูวิวทะเลมุมสูงล่ะค่ะ แล้วมาในตอนเย็นแบบนี้ ก็สวยไปอีกแบบนะคะ

DSC_5922

เห็นสะพานแดงไกลๆ ด้วย

DSC_5936

เสร็จสรรพเราก็เดินออกจากห้างค่ะ เดินผ่านร้านเครปใกล้ ๆ ระหว่างทางที่เดินกลับไปสถานีรถไฟนั่นแหละ ก็เลยชวนแวะนั่งกินขนมเล่นกันอีก ^^”

หน้าร้านไม่ได้ถ่ายมา แต่เจ้าของร้านเป็นคุณป้าใจดีน่ารักมากเลยค่ะ

บริเวณเคาน์เตอร์ร้านนะคะ

IMG_4097

เราสั่งเครปกันไป 2 อย่างกับเครื่องดื่ม 2 แก้ว ครบจำนวนคนพอดีค่ะ ^^”

เครปชิ้นแรกเป็นเครปสตรอเบอรี่ค่ะ

DSC_5963

อีกอันเป็นเครปอะไรไม่รู้ววว ><~ น่าจะเป็นเพลนเครปใส่ไซรัปค่ะ

DSC_5965

เนื้อเครปนิ่มอร่อยดีนะคะ ส่วนเครื่องดื่ม (ที่ไม่ได้ลงรูป) ก็โอเค ตามมาตรฐานญี่ปุ่นค่ะ

กินกันเสร็จ ก็ออกจากร้าน แล้วก็ไปสะดุดกับร้านที่ขายของ One Piece เข้า ก็แวะกันไปอีกเพราะในกลุ่มมีคนที่ชอบการ์ตูนเรื่องนี้มาก ๆ อยู่ค่ะ

IMG_4100

จากนั้นเราก็นั่งรถไฟต่อไปที่สถานี Umeda ค่ะ วนขึ้นไปชั้นบนสุด ๆ เลย จะมีของฟรีที่สนุกอยู่ ก็คือ Umeda Joypolis Wild River ค่ะ ซึ่งใช้พาสก็เข้าฟรีเลยค่ะ แล้วปิดดึกด้วย พวกเราก็เลยมากันในเวลาค่ำมืดแบบนี้ค่ะ

IMG_4101

ลักษณะก็จะเป็นคล้ายๆ หนัง 4 มิติล่ะค่ะ สนุกไปอีกแบบ ก็ถ้าใช้พาสนี้อยู่แล้ว แนะนำว่าแม้คิวจะยาวไปสักหน่อย แต่ก็ไม่ควรพลาดค่ะ ^^

ปิดท้ายการใช้พาสนี้ด้วย Umeda Sky Building Floating Garden Observatory ค่ะ ซึ่งเดินออกไปจากสถานีไกลสักหน่อย แต่เราก็เดินค่ะ (555) ซึ่งมีค่าเข้าเช่นกัน แต่ถ้าถือพาสใบนี้ก็เข้าฟรีได้เลยค่ะ

หน้าตาตั๋วนะคะ

IMG_4103

แล้วก็ออกไปโต้ลมหนาวดูวิวกลางคืนที่ด้านนอก ชั้นที่เค้าให้เข้าไปดูวิวได้ค่ะ

DSC_5974

ตอนขาขึ้นและขาลงนั้น ใช้ทางคนละทางกันค่ะ แต่สุดท้ายแล้วก็จะมาบรรจบที่เดียวกัน ซึ่งขาลงนั้นเป็นบันไดเลื่อนที่ยาวมาก ๆ เลยค่ะ

 

จริง ๆ ในแพลนแล้วเนี่ย ยังมีที่ที่อยากไปอีกสองสามแห่งค่ะ แต่ว่าเวลาเราไม่พอจริง ๆ ก็เลยได้ไปเท่านี้เองนะคะ ก็นำเสนอเป็นทางเลือกเนอะว่าที่ไหนที่เหมาะที่น่าไปบ้างอะค่ะ ^^

เจอกันในโพสต์หน้านะคะ ระหว่างนี้แวะไปพูดคุยกันที่เพจกันก่อนได้ค่ะ ^^”