American Mura & Donki Ferris Wheel, Osaka

สวัสดีค่ะ โพสต์นี้มารวบ 2 ที่เที่ยวในเมืองโอซากะ เล่าในโพสต์เดียวกันเลยนะคะ จริง ๆ ตอนที่แพลนไว้ เคโกะว่ามันน่าสนใจอะ แต่พอเอาเข้าจริง ๆ แล้วดูไม่ค่อยจะน่าสนใจกันเลย ><~

Spot name : American Mura / หมู่บ้านอเมริกา
Location : Osaka (เหมือนไม่ช่วยเนอะ 555) คือมันเป็นย่านที่กินบริเวณพอสมควรอยู่ค่ะ ไปได้หลายทาง
Access : ตามนี้เลยนะคะ
– สถานี Shinsaibashi Exit14 เดิน 7 นาที
– สถานี Yotsubashi เดิน 3 นาที
– ลงสถานี Namba เดิน 7 นาที
– สถานี Osaka namba เดิน 7 นาที
– สถานี JR Namba เดิน 8 นาที
Opening hours : n/a
Website : http://americamura.jp/en/index.php
Visited date : 20 Jan 2018

พวกเราใช้วิธีดร็อปจุดในกูเกิ้ลแม็พเอา แล้วก็เดินตามทางค่ะ ระหว่างทางเดินไป ก็ฝ่าดงย่าน Namba ย่านช้อปปิ้งสุดโปรดของเพื่อนคนนึงในกลุ่มไป แล้วก็เดินผ่านร้านครัวซองส์ที่เพื่อนว่าร้านนี้ดังและอร่อย ก็จัดไปค่ะ

IMG_4048

โดยส่วนตัวเคโกะนะ ถ้าไม่ใช่ครัวซองส์ที่ประยุกต์เป็นแบบใส่ไส้แล้ว มันเฉย ๆ มากค่ะ

ชิมขนมกันเสร็จแล้วก็เดินต่อไป จุดแรกที่เจอก็คือลานวงกลมตรงนี้ ดูเหมือนเป็นจุดนัดพบกันของหนุ่มสาว แล้วก็ที่นั่งเม้าท์มอยอะไรงี้อะค่ะ

DSC_5824

ย่านนี้ถือเป็นย่านช้อปปิ้งย่านนึงเลยค่ะ แต่ด้วยความที่ชื่อย่านนี้ก็คือหมู่บ้านอเมริกา (แปลตรงตัวมาจากชื่อภาษาญี่ปุ่น) เพราะฉะนั้นสินค้าส่วนใหญ่ก็จะไม่ได้ดูเป็นญี่ปุ่นจ๋าเท่าไหร่ จะออกแนวโมเดิร์น ๆ อาร์ตๆ อะไรงี้มากกว่านะคะ ซึ่งก็รวมไปถึงสีสันตามท้องถนนสองข้างทางด้วยที่ดูจะผิดแผกไปจากญี่ปุ่นสไตล์อยู่พอดูทีเดียว

DSC_5825

ร้านหนึ่งในที่เค้าแนะนำ ๆ ก็คือ Alice on Wednesday เป็นร้านที่เพนท์กำแพงสวยดี ตอนที่ไปก็มีการต่อคิวหน้าร้านด้วย .. เอาน่ะ น่าจะน่าสนใจนะ

จะมีพนง.ร้านอยู่หน้าร้านคอยต้อนรับอยู่ แล้วก็จะให้เข้าไปในร้านครั้งนึงไม่กี่คนค่ะ เข้าใจว่าร้านแคบและเล็ก เลยไม่อยากให้แออัดไปล่ะนะคะ

DSC_5829

ในร้านก็เป็นของจุ๊กจิ๊กน่ารัก ๆ ค่ะ ราคาก็พอใช้ได้เลย ไม่แพงเวอร์เกินไปค่ะ

อย่างที่บอก เป็นย่านช้อปปิ้งที่กลุ่มเราดูจะไม่ค่อยสนใจกันเท่าไหร่ เดินกันอยู่แป๊บ ๆ เราก็ไปต่อกันที่ของตายของคนไทยอย่างร้านดองกิโฮเต้ หรือ ดองกี้ที่คนไทยรู้จักกันดีค่ะ

วันที่เราไปนั้น ตัวชิงช้าสวรรค์ที่อยู่ด้านบนของร้านดองกี้ นัมบะนั้นเพิ่งเปิดได้สองสามวันเอง สนนราคาการขึ้นชมก็แค่ 600 เยนเท่านั้น ก็เลยจัดไปค่ะ

ก่อนจะนั่งชิงช้าสวรรค์ พนง.จะแจกซองพลาสติกใสสำหรับใส่มือถือให้คล้องคอด้วย ตัวชิงช้าสวรรค์เองก็ดูไม่ค่อยจะปลอดภัยเท่าไหร่ คือเป็นที่นั่งโล่ง ๆ เลยค่ะ แล้วจะหมุนตัวไปหันหน้าเข้าหากับผนังกระจกที่ให้เรานั่งดูวิวได้

จริง ๆ ก็ปลอดภัยแหละ แต่ก็แอบมีความรู้สึกนิดนึงว่ามันก็โล่ง ๆ อะ ><~

ดูวิวมุมสูงกันค่ะ

DSC_5840

มองลงไปข้างล่างบ้าง สูงอยู่น้าาาาา

DSC_5841

มีเป็นคลิปสั้น ๆ มาให้ดูด้วยค่ะ ในคลิปยังไม่ขึ้นถึงจุดสูงสุดแบบในรูปข้างบนนะคะ

 

จากนั้นพวกเราก็มานั่งจุมปุ๊กหนีหนาวอยู่ในร้านใกล้ ๆ กันนั้นร้านนึง ก็สั่งเค้กมาชิมกันค่ะ ซึ่งพวกเราไม่แน่ใจว่าสื่อสารกันไม่เข้าใจหรือยังไง เพราะสุดท้ายแล้วออเดอร์พวกเราได้ไม่ครบค่ะ

หน้าเคาน์เตอร์มีดิสเพลย์ราเม็งลอยได้แบบนี้ เก๋ดีอ่า

IMG_4058

เค้กชิ้นเล็ก ๆ 2 ชิ้น เนื้อเค้กจะหนัก ๆ หน่อย คล้าย ๆ พวกบัตเตอร์เค้กค่ะ แต่ชาเขียวอร่อย

IMG_4060

แล้วอีก 2 เมนูก็เป็นไอศกรีม .. มานั่งในร้านอุ่น ๆ แก้หนาว แต่กินไอศกรีมเพื่ออออออ …?

IMG_4061

ไอศกรีมเค้าตกแต่งสวยอยู่ รสชาติก็ปกติค่ะ ทั่ว ๆ ไปไม่ได้โดดเด่นหรือว้าวอะไรเลย

IMG_4062.jpg

อย่างที่ว่า ไม่รู้พวกเราสื่อสารกับพนง.ไม่เข้าใจหรืออย่างไร ออเดอร์ไม่ครบค่ะ รอจนเพื่อนเซ็ง ก็เลยไปเช็คบิลดีกว่า ถึงได้รู้ว่าที่สั่งไปอีกอย่างนึงนั้นหายไปแล้ว รอไปก็ไม่มาอะค่ะ  – -”

ก็ปิดท้ายโพสต์นี้ด้วยความเฟล ๆ เล็กน้อย ไว้กลับมาติดตามกันโพสต์หน้านะคะ แฮปปี้กันถ้วนหน้าละ (มั้ง ^^”)

ระหว่างนี้ ฝากเพจกันไว้ แวะไปทักทายพูดคุยกันได้ค่ะ >> https://www.facebook.com/thisiskeigo/

Sumiyoshi Taisha, Osaka

สวัสดีค่ะ โพสต์นี้โยกย้ายข้ามมาญี่ปุ่นกันบ้างซะทีนะคะ หลังจากติดแหง่กอยู่ในไต้หวันซะยาวนานเลย ^^”

เริ่มต้นทริปญี่ปุ่นช่วงหน้าหนาว ที่มาลงรีวิวเอาตอนหน้าร้อนนี่แหละ (^^”) กันที่ศาลเจ้าที่ได้ชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น และมีวิวสวยงามกันนะคะ

Location name : Sumiyoshi Taisha Shrine
Access : Nankai Main Line, transfer to Sumiyoshi Taisha station and walk about 5 min.
Website (English) : http://www.sumiyoshitaisha.net/en/
Admission Fee : Free
Opening hours : 6.30 – 17.00 (Oct. – Mar.) / 6.00 – 17.00 (Apr. – Sept.)
Visited date : 20 Jan 2018

พอมาถึงสถานีรถไฟ Sumiyoshi Taisha แล้วก็สบายค่ะ จะมีป้ายบอกทางว่าให้ไปทางไหน ก็เดินตามป้ายได้เลย ในสถานีเองก็มีแผนที่อยู่ แต่เป็นภาษาญี่ปุ่นค่ะ

เดินออกมาตามทางตรงไปเรื่อย ๆ ก็จะเจอถนนคั่นอยู่ด้านหน้าที่มีรถรางสีสันสดใสผ่านแบบนี้

DSC_5794

ข้ามถนนไปก็ถึงประตูทางเข้าศาลเจ้าเลยค่ะ

DSC_5795

ผ่านโทริอิต้นใหญ่ไปต่อเลยค่ะ

เคโกะไปช่วงต้นปีเนอะ ผู้คนก็ยังอยู่ในช่วงที่ออกมาทำบุญเข้าวัดเข้าวา เข้าศาลเจ้าขอพรหลังวันปีใหม่กันอยู่ล่ะค่ะ คนเยอะเลยทีเดียว

DSC_5798

ศาลเจ้าที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น การจัดวางของศาลเจ้าแต่ละหลังก็จะยังคงแบบดั้งเดิมไว้ค่ะ

ผู้คนต่อแถวยาวเลยทีเดียว ไปต่อแถวกันบ้างค่ะ พาเพื่อนมา เพื่อนก็ลิ่ว ๆ ไปต่อคิวแบบไม่ต้องถามเลย 55

DSC_5806

มีเสี่ยงเซียมซีตามสูตรด้วยค่ะ ถ้าได้ใบที่ไม่ดีก็มาผูกไว้กับราวที่ทางศาลเจ้าจัดไว้ให้นะคะ แบบนี้เลย

DSC_5807

เดินวนชมศาลเจ้าด้านในกันไปเรื่อย ๆ ค่ะ

DSC_5809

ด้านในศาลเจ้าก็มีอาณาบริเวณค่อนข้างกว้างขวางอยู่เหมือนกัน มีสะพานข้ามสระเล็ก ๆ ด้วย มีเป็ดเริงร่าอยู่หลายตัวเชียวค่ะ

DSC_5815

พอวนกลับออกมา ก็เจอกับพิธีแต่งงานตามธรรมเนียมญี่ปุ่นด้วย เลยแอบยืนดูเค้าอยู่พักนึงค่ะ เพิ่งเคยเห็นแบบจริงจังใกล้ชิดเลยนะคะเนี่ย

DSC_5818

ตู้โทรศัพท์ที่นี่ก็ทำกิมมิคเข้ากับศาลเจ้าดูเก๋ ๆ ไปอีกค่ะ

DSC_5819

แล้วก็มาถึงจุดถ่ายรูปที่เค้าว่าสวยมาก ๆ ค่ะ คือด้านข้างของสะพานแดง แต่พอดีช่วงที่เคโกะไป น้ำไม่ค่อยนิ่งเนอะ เลยดูสะท้อนไม่ค่อยชัดและงามเท่าไหร่เลยค่ะ ^^”

DSC_5821

ปิดท้ายด้วยไส้กรอกที่ขายอยู่บริเวณหน้าศาลเจ้า รสชาติธรรมดาๆ เลยค่ะ ซื้อชิมเพราะแอบคิดถึงไส้กรอกไต้หวันไรงี้ล่ะค่ะ 5555 (ทั้ง ๆ ที่ตอนที่ไปญี่ปุ่น เคโกะก็เพิ่งกลับมาจากไต้หวันได้ไม่กี่วันอ่ะนะ – -“)

เอาล่ะ โดยรวม ๆ ก็เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ที่มีวิวสะพานแดงสวย น่ามากราบไหว้และเดินถ่ายรูปเล่นค่ะ

เจอกันในโพสต์หน้านะคะ จะพยายามโพสต์ให้ไว ๆ ค่ะ แหะๆ ^^”

ระหว่างนี้ไปเม้าท์มอยกันที่เพจ https://www.facebook.com/thisiskeigo/ กันก่อนได้นะคะ ^^

[airbnb] Shin-Osaka

สวัสดีค่ะ โพสต์นี้มารีวิวห้องพัก airbnb ที่โอซากะบ้างนะคะ หลักเกณฑ์ในการเลือกที่พักของเคโกะจะเน้นไปทางการเดินทางที่ง่าย ต่อรถสะดวก ของกินเยอะ สถานีใหญ่หน่อย อะไรงี้อะค่ะ ก็เลยหวยออกที่ย่านชินโอซากะค่ะ

** เคโกะขออนุญาตกระแดะอ่านชื่อเมืองโอซาก้า ว่า “โอซากะ” ตามสำเนียงญี่ปุ่นนะคะ ^^”

มาเริ่มกันเลยเนอะ

Room : https://www.airbnb.com/rooms/20510277
Host : Muneyoshi
Location : Shin-osaka, 4 minutes walk
Check-in date : 20 Jan 2018
Night(s) : 7 (20-27 Jan 2018)
no. of person(s) : 4
Price : 14,372.60BHT (฿513.31 per person, per night)

ก่อนเดินทางไม่กี่วัน เคโกะก็ส่งเมสเสจผ่านระบบ airbnb ไปจิกเอาแผนที่การเดินทางไปห้องพักมาจากโฮสต์ค่ะ ซึ่งปกติแล้วโฮสต์จะส่งให้เคโกะล่วงหน้า 2-3 วันเสมอเท่าที่เคยใช้บริการมา และไม่เคยต้องไปถามก่อนเลยค่ะ ห้องนี้เป็นห้องแรกที่ต้องไปตามจิกแผนที่มา แอบรู้สึกไม่ค่อยดีเล็กน้อย

แต่ยังไงก็ตาม โฮสต์ก็เมลแผนที่มาให้ที่ดูแล้วว่าค่อนข้างละเอียด แต่ในรูป (แผนที่) ที่เค้าให้มาเป็นเวลากลางวันค่ะ ซึ่งพวกเราไปเช็คอินเข้าห้องตอนค่ำ ๆ ทำให้ทัศนียภาพค่อนข้างต่างออกไปพอสมควร แต่เคโกะก็ใช้ Google map ให้เป็นประโยชน์ อย่างน้อย ๆ เราก็รู้ว่าอพาร์ทเมนต์นั้นชื่ออะไร ก็พิมพ์ใส่กูเกิ้ลเข้าไป แล้วก็เดินตามกูเกิ้ลค่ะ ซึ่งก็แม่นยำพอสมควร (เสิร์ชหาด้วยชื่อภาษาญี่ปุ่นนะคะ ถ้าเสิร์ชด้วยภาษาอังกฤษจะหาไม่เจอค่ะ)

ด้านหน้าตึกเป็นทางเข้าเล็ก ๆ มีแลนด์มาร์คให้ดูเป็นร้านอาหาร ซึ่งก็ใช้แผนที่ที่โฮสต์ให้มานั่นแหละ ประกอบการหาตึก เลยได้สังเกตเห็นทางเข้าตัวอพาร์ทเมนต์ค่ะ ที่น่าเจ็บปวดสำหรับคนไม่รู้ภาษาอีกอย่างก็คือชื่ออพาร์ทเมนต์เป็นภาษาญี่ปุ่น (ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นคาตาคานะ ทับศัพท์ภาษาอังกฤษค่ะ)

อพาร์ทเมนต์มึลิฟท์แคบ ๆ ตามสไตล์ญี่ปุ่น ซึ่งพวกเรา 4 คนพร้อมด้วยข้าวของก็เต็มพอดี (555) ออกจากลิฟท์ก็เลี้ยวซ้าย อยู่หน้าลิฟท์เลยแหละ ว่างั้น

ด้านหน้าประตู ถ่ายจากด้านในห้องค่ะ

DSC_5863

ที่เห็นท่อ ๆ ยื่นออกมานั่นคือเครื่องดูดฝุ่นค่ะ ก็ได้ใช้อยู่นะ ด้วยความที่ผมร่วงเยอะเลย ><” แล้วก็มีร่มแอบ ๆ ซอก ๆ อยู่ด้วย ซึ่งพวกเราไม่ได้ใช้ค่ะ ใช้เสื้อกันฝนแทน (จริง ๆ แล้วก็มารู้สึกเอาทีหลังว่า ร่มน่าจะดีกว่านะ ^^”)

เข้าห้องมาก็เปลี่ยนรองเท้าเป็นรองเท้าแตะสักหน่อย โฮสต์เตรียมไว้ให้เพียงพอกับจำนวนคนค่ะ

DSC_5861

ห้องเป็นห้องแบบประตู 2 ชั้น คือ ประตูห้องด้านนอกเลย ซึ่งพอเข้ามาแล้ว ด้านขวาจะเป็นห้องน้ำ และก่อนเข้าส่วนห้องนอนกับที่นั่งเล่น ก็จะมีประตูอีกชั้นนึง

หน้าประตูชั้นในที่ว่า ก็มีอักษรภาพอยู่ ดูเจ้าของห้องจะชอบอักษรภาพอยู่นะ ^^” และใต้ภาพนี้ก็จะเป็นที่วางของใช้ต่าง ๆ นานาที่เราสามารถหยิบมาเติม มาใช้ได้ค่ะ เช่น กระดาษทิชชู กระดาษเช็ดปาก ผ้าขนหนูไรงี้

DSC_5862

ไหน ๆ ก็ยังอยู่หน้าห้องชั้นในแล้ว แวะเวียนด้านขวามือของห้องเข้าไปดูห้องน้ำกันก่อนนะคะ

ห้องน้ำเป็นประตูบานเลื่อน ล็อคยาก ๆ หน่อย แต่ก็ล็อคได้อยู่ แยกส่วนเปียกส่วนแห้งอย่างชัดเจนด้วยประตูสไลด์อีกชั้นนึง ถ้าเพื่อนกันไม่คิดอะไรมาก ก็ใช้ได้พร้อมกันทีเดียว 2 คนเลยนะ (555)

ส่วนแห้งค่ะ มีกระจกเหนืออ่างล้างหน้า พร้อมไดร์เป่าผมให้ใช้อยู่ตรงนี้ด้วย

DSC_5858

ติดเคโกะมาหน่อยนึงเนาะ ^^”

แล้วก็ส่วนเปียก มีอ่างอาบน้ำด้วย ดูเหมือนจะไม่มีใครแช่ตัวเลยนะ (555) ปรับน้ำอุ่นน้ำเย็นได้ ซึ่งเป็นภาษาญี่ปุ่นอีกล่ะ แล้วก็มีขวดครีมอาบน้ำ แชมพู ครีมนวดอะไรงี้วางไว้ให้ใช้ … แต่หมดค่ะ – -” (มาเจอเอาทีหลังว่ามีแบบเติมให้เติมได้ อยู่ในตู้ใต้อ่างล้างหน้า)

DSC_5860

เดินเข้าห้องนอนกันซักทีเนอะ

ด้านในห้องนอนเป็นเตียงคู่ 2 เตียงค่ะ ก็เพียงพอสำหรับคน 4 คนเนาะ สังเกตได้ว่าแอร์ (หรือฮีทเตอร์) จะอยู่ด้านในห้อง มีเครื่องเดียวค่ะ

DSC_5848

ให้ดูแอร์ (ฮีทเตอร์) กับภาพประดับฝาผนังในห้องอีกที

DSC_5849

ส่วนหัวเตียงก็มีอักษรภาพอีกแล้ว

DSC_5850

ถัดออกมาจากเตียง หรือหน้าประตูห้องที่เปิดเข้ามาก็จะเป็นโต๊ะตัวเตี้ยที่พวกเราใช้เป็นโต๊ะนั่งเล่น วางของ และทานข้าวค่ะ

DSC_5851

ที่น่าตลกก็คือ ห้องสำหรับคน 4 คน แต่มีเบาะรองนั่งให้แค่ 2 ใบเท่านั้นเอง – -”

หน้าโต๊ะตัวนี้ หรือติดหน้าต่างห้องก็คือทีวีค่ะ เคโกะเปิดดูเล่น ๆ เฉพาะตอนเช้า ๆ … ถามว่ารู้เรื่องไหม ไม่ค่ะ แต่เปิดเพื่อดูพยากรณ์อากาศที่ขึ้นอยู่บนหน้าจอเป็นข้อมูลเฉย ๆ ค่ะ ^^”

DSC_5852

ถัดจากทีวีก็จะเป็นถังขยะรวม ไม่มีการแยกขยะใด ๆ ทั้งสิ้น และถัดไปก็เป็นชั้นวางของ ที่โฮสต์วางจานชาม ฯลฯ ไว้ให้ใช้ตรงนี้ค่ะ ก็หยิบไปใช้ได้ และล้างคืนด้วยค่ะ

DSC_5855

ติดกับชั้นวางของก็เป็นตู้เย็น บนตู้เย็นมีกาต้มน้ำร้อน, หม้อหุงข้าว และไมโครเวฟค่ะ ซึ่งเป็นการจัดวางได้ประหยัดพื้นที่มากมาย

ไมโครเวฟพวกเราใช้แทบทุกวัน เพราะซื้อของกินเข้ามาเก็บไว้เป็นมื้อเช้าค่ะ ก็เข้าเวฟอุ่นทาน ซึ่งไมโครเวฟนั้น .. เป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมดค่ะ

DSC_5854

ตรงข้ามกับตู้เย็นและไมโครเวฟก็คือมุมทำครัวพร้อมอ่างล้างจานค่ะ มีเตาไฟฟ้าด้วย แต่พวกเราก็ไม่ได้ใช้อะไร ใต้เตาเป็นตู้ลิ้นชัก เก็บของใช้อีกแล้ว มีถุงขยะในนั้นด้วย พวกเราก็หยิบมาใช้ค่ะ ซึ่งจุดทิ้งขยะของตึกจะอยู่หน้าทางเข้าอพาร์ทเมนต์เลย

DSC_5853

ห้องนี้ดูจะขาดแคลนที่แขวนเสื้อผ้าค่ะ มีอยู่จุดเดียวคือตรงรางผ้าม่านหน้าต่าง ซึ่งก็ได้แขวนแต่เสื้อกันหนาวกัน

DSC_5856

มาว่ากันด้วยความคิดเห็นและสิ่งที่พบเจอกับห้องนี้ค่ะ

  • อันดับแรกที่ต้องพูดถึงเลยคือแอร์ (ฮีทเตอร์) ซึ่งทำงานได้แย่มาก ๆ ไม่อุ่นเท่าที่ควรจะเป็นเลย ซึ่งเคโกะมั่นใจมากว่าใช้รีโมทแอร์ ปรับอุณหภูมิได้อย่างถูกต้อง (เป็นภาษาญี่ปุ่น) ทั้งยัง double check ด้วยการถ่ายรูปส่งไปให้พี่ชายดูให้ด้วยค่ะ ซึ่งพี่ก็บอกว่าถูกแล้ว (พี่ชายรู้ภาษาญี่ปุ่นค่ะ) แต่ห้องก็ไม่อุ่นเอาซะเลย กลายเป็นว่าทุกคนก็ยังคงใส่เสื้อกันหนาวเวลาอยู่ในห้องอยู่ดี เคโกะเองเอาชุดนอนไปแต่เสื้อแขนสั้นและกางเกงขาสั้นค่ะ ก็หนาวมากจนต้องยอมใส่สเวตเตอร์เพิ่มอีกตัว แล้วเอาผ้าพันคอมาคลุมขาแทน ส่วนเพื่อน ๆ ก็ใส่เสื้อกันสองสามชั้นนอนทุกคืนค่ะ
  • ต่อเนื่องจากข้อแรก เคโกะก็รีบเมสเสจไปหาโฮสต์ทันทีว่าห้องยูว์ดูจะมีปัญหานะ แต่ก็ no response มาก ๆ ค่ะ หายไปเลย แบบไม่โอเคค่ะ (complain ไปในส่วนของ feedback แล้วค่ะ ให้ดาวเดียวเลย แหะๆ ถ้าใครเข้าไปอ่านคอมเมนต์ห้องนั้นตามลิ้งค์ข้างบน ก็น่าจะเห็นฟีดแบ็คของเคโกะค่ะ)
  • ในห้องน้ำ ไม่มีที่แขวนผ้าเลย รวมถึงที่ใด ๆ ในห้องก็ไม่มีที่แขวนผ้าหรือตากผ้าเลยค่ะ จนเพื่อนผู้ชายในกลุ่มต้องเอาเชือกมาผูก ๆ เป็นราวตากผ้าให้
  • โถชักโครกไม่มีแบบอุ่นนะคะ นั่งลงไปก็เย็นยะเยือกกันไป รวมไปถึงครีมอาบน้ำ แชมพู ครีมนวดผมในห้องน้ำด้วยที่ไม่เติมไว้ให้ใช้ แถมวางขวดน้ำยาล้างอ่างอาบน้ำไว้ปนกันด้วยอะ ถ้าคนอ่านญี่ปุ่นไม่ออกมาหยิบไปใช้คงแย่นะคะ
  • ห้องพักมีพ็อกเก็ตไวไฟให้ใช้ สามารถหยิบพกพาติดตัวออกไปใช้ได้เลย (ถ้าจำไม่ผิด มีลิมิตให้วันละ 500MB ค่ะ)
  • สิ่งที่ดีงามเพียง 2 อย่างสำหรับห้องนี้ก็คือมีมินิมาร์ทอยู่ใกล้ ๆ และทำเลดีมาก ใกล้สถานีรถไฟมากจริง ๆ เดินไปแป๊บเดียวก็ถึงค่ะ (สถานีชินโอซากะ / Shin-osaka)

สรุปโดยรวมแล้วในความคิดเห็นของเคโกะ ห้องนี้ถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ ไม่แนะนำอย่างแรงค่ะ สอบตกเรื่องฮีทเตอร์ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นมาก ๆ ในฤดูหนาวเลขตัวเดียวแบบนั้นค่ะ

แล้วเจอกันใหม่ในโพสต์ถัดไปนะคะ ระหว่างนี้ไปเม้าท์มอยพูดคุยกันได้ที่เพจ thisiskeigo ค่ะ

My Foodies in Japan Trip 2017

สวัสดีค่ะ ตั้งใจว่าโพสต์นี้จะลงรูปของกินที่ได้ตะลุยกินมาตลอดทริปญี่ปุ่นเมื่อต้นปี .. ตอนนั้นอากาศหนาว ฤดูหนาว แต่กว่าจะได้โพสต์ก็ปาเข้าไปหน้าร้อนซะงั้น ^^”

เอาล่ะ จะไม่อารัมภบทเยอะค่ะ เพราะรูปเยอะมากกกกกกกกกกกกกก จริง ๆ แล้วของญี่ปุ่นคิดเป็นเงินบาทแล้วไม่ถูกเลยนะ แต่ถ้าคิดเป็นเงินเยนแล้วรู้สึกถูกค่ะ เลยกินซะไม่หยุดคิดอะไรเลย แหะๆ

*** ถ้ารูปไหนเคโกะจำสถานที่กับราคาได้ ก็จะลงให้นะคะ ^^” ***

เริ่มด้วยของกินบนเครื่องบิน AirAsia X ขาไปค่ะ เป็นสปาเก็ตตี้อะไรสักสิ่ง สั่งแบบพรีบุ๊คจะได้น้ำ 1 ขวดมาด้วย เริ่ดดด ..

IMG_9048

ตัดฉับไปไว ๆ ต่อที่ลงเครื่อง ลากกระเป๋าปุเลง ๆ เข้าโตเกียวแล้ว ลงจากรถบัสปุ๊บก็หาข้าวกินกันก่อน ซึ่งรอบ ๆ ป้ายรถเมล์นั้นก็มีร้านสปาเก็ตตี้ค่ะ ที่ยังเปิดอยู่ ที่สำคัญ ฝนตกด้วยค่ะ วินาทีนั้นก็ไม่เลือกอะไรแล้ว ขอหม่ำก่อนล่ะ ^^”

พิกัด ใกล้ ๆ ป้ายรถเมล์ที่รถบัสจากนาริตะมาจอดค่ะ 2 จานนี้ 2592 เยน รสชาติก็อร่อยดีค่ะ เส้นไม่แข็ง ไม่นุ่มเกินไป ให้หอยมาตัวใหญ่ด้วย

page01

ตากฝนเข้าที่พักมาได้ ก็ยังไม่หยุดกินค่ะ ไป 7-11 ใกล้ ๆ ที่พัก กินโยเกิร์ตต่ออีก ถามว่าทำไมถึงหยิบยี่ห้อนี้มากิน .. คำตอบก็คือ หยิบแบบสุ่มค่ะ ไม่ได้เจาะจงอะไรเลยยยย แต่รสชาติก็เฉย ๆ นะคะ ไม่ว้าวเท่าไหร่

IMG_9057

ต่อไปที่มื้อเช้าวันถัดไป ซื้อข้าวกล่องเข้ามาทิ้งไว้ตั้งแต่คืนวาน แล้วโยนเข้าเวฟก่อนกิน (ที่พักมีไมโครเวฟให้ค่ะ) เป็นทงคัดสึธรรมดาใน 7-11 นะคะ

IMG_9058

กินคู่กับน้ำผลไม้รวมที่ซื้อมาด้วยกันนั่นแหละ อร่อยดีค่ะ ไม่หวานจนเกินไป ให้ความรู้สึกสดชื่นดี

IMG_9059

ตัดฉับไปที่มื้อเที่ยง แถว ๆ กินซ่ามั้งนะ เป็นร้านที่มีเมนูหน้าร้านแบบกดตู้อะค่ะ ร้านนี้อยู่ในตรอก ๆ ซอก ๆ หน่อย แต่ไม่เปลี่ยว ไม่น่ากลัวนะ ราคาน่าคบด้วย ก็จัดไปค่ะ

1 เซ็ท + 1 ชามนี้ราคา 700+420 เยนค่ะ รสชาติก็เฉย ๆ นะ ตามประสาร้านอุด้ง-โซบะทั่วไปค่ะ

page02

ต่อไปที่น้ำมะนาวโซดา ตัวนี้ดูไม่ละเอียด เพราะเคโกะไม่กินโซดาค่ะ กลัวกัดกระเพาะอะนะ กดตู้ขายน้ำหยอดเหรียญอัตโนมัติมาค่ะแถว ๆ นาคาโนะ (โตเกียว) 130 เยน

IMG_9069

ต่อด้วยมื้อเย็นวันนั้น เป็นร้านอาหารออกแนวตามสั่ง (มีเมนู) อะค่ะ ออกจีน ๆ หน่อยนะ แถว ๆ อุเอโนะมั้งคะ ไม่ค่อยแน่ใจ พอวันหลังจะมากินอีกก็วนหาไม่เจอแล้ว T.T (ความจำสั้นได้อีก 555)

2 เซ็ทนี้ราคา 1530 เยนค่ะ ร้านนี้มีเมนูอังกฤษให้ด้วยยย

page03

ต่อท้ายด้วยโกโก้นมจากตู้กดน้ำอัตโนมัติหน้าสถานีอุเอโนะค่ะ ลองคนละยี่ห้อกัน เคโกะค่อนข้างชอบโกโก้ที่นี่นะ คือ มันไม่หวานเว่อร์อะค่ะ ราคาก็ตามตู้กดน้ำทั่ว ๆ ไปเนาะ 2 กระป๋อง 260 เยนค่ะ

IMG_9076

กินข้าวเย็นกันไปชุดใหญ่ แต่ก็อย่าคิดว่าจะหยุดกินนะคะ ยังสรรหาขนมกินต่อได้อีก T^T

โดนัทแถว ๆ สถานีอาคิฮะบาระค่ะ 2 ชิ้น 334 เยน ตัวมัทฉะไม่ค่อยโอเค แต่อีกอันเป็นรสช็อคโกแลต ก็อร่อยดีค่ะ .. แต่กินแล้วก็คิดถึงพอนเดอริงนะ เคโกะชอบเนื้อแบบนั้นมากกว่าค่ะ แหะๆ

page04

มื้อเช้าวันที่ 3 ของทริป ไปกินที่ร้านแฟรนไชส์ ที่จำชื่อไม่ได้ค่ะ ><~ แต่สาขานี้ที่กินอยู่หน้าสถานีอิเคะบุคุโระ ถ้าจำไม่ผิด จะเป็นร้านเดียวกันกับที่ทานเมื่อวานเย็น แต่คนละสาขากันค่ะ

เป็นร้านที่เปิดเช้ามากกกก (เอ๊ะ เปิด 24 ชม.มั้งนะ ไม่แน่ใจค่ะ) ก็เป็นที่พึ่งของนักท่องเที่ยวรอบเช้าได้ดีค่ะ 3 จานนี้ทั้งหมด 1210 เยน เคโกะว่าติดเค็มไปหน่อย ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่

page05

กระโดดข้ามมาไว ๆ อยู่ที่โอไดบะค่ะ ระหว่างนั่งพักเหนื่อยก็ไปสอยน้ำมะนาวอย่างที่อยากชิมจริง ๆ ที่ไม่มีโซดามาจากมินิมาร์ทใต้ตึกฟูจิเทเลบินั่นแหละ

IMG_9115

แล้วก็มานั่งหม่ำ ๆ ในฟู้ดคอร์ทที่ห้าง Diver City ค่ะ เคโกะจัดทาโกะยากิไป 550 เยน รสชาติอร่อยกว่าที่ไทยเยอะเลย ลูกใหญ่ ไส้ปลาหมึกเต็ม ๆ คำค่ะ ชอบมากกกกก

IMG_9130

ต่อด้วยเครปช็อคโกแลตกล้วย ราคา 411 เยน สั่งตามเมนูเลย ไม่ได้ customize อะไร รสชาติเฉย ๆ ค่ะ ธรรมดา ๆ ไม่ได้ว้าวอะไรค่ะ

IMG_9131

กลับมาที่พัก ก็แวะ 7-11 กินขนมต่ออีก – -”

Jagabee ตัวนี้จำรสชาติไม่ได้แล้วค่ะ แหะๆ น่าจะเป็นรสกุ้งเผามั้งคะ ไม่ชัวร์ ถ้าจำไม่ผิด รสจะคล้าย ๆ ข้าวเกรียบกุ้งอะค่ะ

IMG_9136

ต่อไปที่ไอศกรีม Haagen-Dazs รสแปลก ๆ คือ ไม่รู้จักขนมชนิดนี้เลยค่ะ แต่ก็ซื้อมาลองชิมดู รู้สึกไม่โอเค ไม่ถูกจริตค่ะ ออกแนวรสถั่ว ๆ ด้านบน ผสมวานิลลาด้านล่าง ตัวนี้ไม่ชอบค่ะ

IMG_9137

มาต่อที่มื้อเช้าวันที่ 4 ค่ะ ไปกินข้าวในสถานีโตเกียวค่ะ ก็เลือก ๆ ร้านเข้าไป เป็นเซ็ทอาหารเช้าให้เลือก ก็เลือก ๆ กันคนละเซ็ทล่ะค่ะ โดยรวม ๆ ก็โอเคนะคะ ราคารวม 1641 เยนค่ะ

page06

กินเสร็จออกมากดน้ำที่ตู้น้ำอัตโนมัติแถว ๆ นั้นแหละอีกขวดค่ะ เป็นชาโฮจิฉะ รู้สึกว่าไม่หวานเลย ชอบค่ะ

IMG_9164

ต่อที่มื้อเย็นวันนั้น ไปจัดซุชิสายพานแถวสถานีอุเอโนะค่ะ ตามลายแทงในพันทิปไป เห็นว่าเป็นซุชิหน้าล้น หน้าทะลัก ไรงี้ เป็นร้านที่คิวยาวมากกกกกก เคโกะไปนั่งหนาวอยู่หน้าร้านอยู่พักใหญ่ถึงจะได้คิวเข้าร้านค่ะ ร้านไม่มีเมนูอังกฤษให้ แต่บนสายพานก็พอโอเคอยู่นะคะ หรือไม่ก็เปิดเมนูแล้วจิ้ม ๆ ก็ได้ค่ะ ในเรื่องรสชาติ เคโกะว่าโอเคเลยนะ กินกันถล่มทลายมาก จำไม่ได้ว่ากี่จานค่ะ แต่สองคนกินกันอิ่มปลิ้นเลย หมดไป 5270 เยนค่ะ

page07

ซุชิหน้าล้น ๆ อร่อยทุกอย่างค่ะ ชอบแซลมอน 3 อย่าง (ซ้ายล่าง) กับขวาล่างเป็นพิเศษค่ะ

มาจบท้ายที่ 7-11 ใกล้ที่พักอีกเช่นเคย ไปหยิบไอศกรีมแท่ง Godiva มาชิมค่ะ อันนี้อร่อยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก แท่งละ 350 เยนเท่านั้นนนนน แนะนำค่ะ อร่อยมากจริง ๆ

IMG_9201

ยังไม่หยุดกินค่ะ 55 เหมือนเมื่อกี้ไม่ได้กินซุชิมาเลยนะนี่

อันนี้เป็นคัพเค้กช็อคโกแลต ซื้อในสถานีรถไฟอุเอโนะมั้งคะ ไม่แน่ใจ เห็นป้ายลดราคาอยู่ก็เลยหน้ามืด เข้าไปหยิบ ๆ มากินซะงั้น – -” แต่รสชาติเฉย ๆ นะ ไม่ว้าวค่ะ ซื้อมา 2 ชิ้น 2 แบบ 303 เยน หลังหักส่วนลดแล้วค่ะ

IMG_9203

กินอิ่มไป ก็ล้างปาก แก้เลี่ยนด้วยชามะนาวค่ะ อันนี้ก็อร่อย ชอบมากกกกกกกกกอีกเช่นกัน ซื้อได้ตาม 7-11 ค่ะ

IMG_9204

ต่อไปที่มื้อเช้าวันที่ 5 เริ่มด้วยขนมอีกชิ้นที่เหลือที่ซื้อมาพร้อมกับกับคัพเค้กช็อคโกแลตอะค่ะ

ตัวนี้เฉย ๆ อีกแล้ว ดีที่ไม่หวานเกินไปค่ะ

IMG_9207

ส่วนมื้อเช้าจริงจังนั้น เราไปนั่งกินกันในร้าน Lawson ใกล้ ๆ ที่พักค่ะ ซึ่งในร้านมีที่ให้นั่งกินด้วย สบายเลย

IMG_9208

รสชาติเฉย ๆ เหมือนโอนิงิริในร้านสะดวกซื้อทั่ว ๆ ไปเลยค่ะ

เห็นมีชานมไข่มุกแบบสำเร็จขายด้วย แปลกดีก็เลยซื้อมากินคู่กันค่ะ

IMG_9210

ตัวนี้เคโกะว่าไม่อร่อยค่ะ ไข่มุกไม่หนึบหนับเลย

ส่วนมื้อเที่ยง ไปเดินเสาะหาจนได้ร้านใกล้ ๆ สถานี Noborito หลังกลับจาก Fujiko F Fujio Museum ค่ะ เลือกไว ๆ เลยเอาเป็นทงคัตสึด้งอีกเช่นเคย ^^” รสชาติทั่ว ๆ ไปค่ะ ไม่เด่น ไม่ว้าวอะไรพิเศษนัก น่าจะราคา 580 เยนค่ะ

IMG_9257

แล้วก็เป็นของกินเล่นในย่านไชน่าทาวน์ที่โยโกฮามะ นะคะ

เริ่มด้วยเสี่ยวหลงเปา …แบบประยุกต์ค่ะ – -” แต่ก็อร่อยใช้ได้ทีเดียว เค้าเอาไปจี่ในกะทะ เลยได้ texture กรุบ ๆ นิด ๆ แปลกแต่อร่อยดีค่ะ จานนี้น่าจะ 620 เยนมั้งคะ

page08

แล้วก็ขนมหน้าตาเหมือนในไทย เค้าเรียกอะไรนะคะ ขนมไข่หงส์หรือเปล่า เคโกะกินเป็นอย่างเดียวอ้ะ ~><~  ลูกละ 100 เยนค่ะ ถ้าซื้อเยอะจะได้ถูกกว่านี้ แต่เอามาแค่ชิมพอค่ะ แล้วก็รู้ว่าในไทยอร่อยกว่านะ

IMG_9262

ต่อด้วยซาลาเปาหมูลูกยักษ์ค่ะ 500 เยน ก็เหมือนซาละเปาทั่ว ๆ ไปนะ ต่างแค่อันนี้เป็นลูกใหญ่มากกกกค่ะ กินแล้วอิ่มเลยทีเดียว

IMG_9263

เสร็จแล้วก็เข้าห้าง … จำชื่อไม่ได้อีก เอาเป็นว่าอยู่ตรงสถานีใหญ่ ๆ ที่โยโกฮามะน่ะค่ะ ข้างบนขึ้นไปดูวิวที่สูงได้อะค่ะ ><” น่าจะเป็น Landmark Tower นะ

เลี้ยวเข้าร้านราเม็ง น่าจะชั้นล่างของห้างค่ะ 2 ชาม 2210 เยน รสชาติก็ราเม็งอะค่ะ แอบรู้สึกมันเยอะไปนิดนึง โดยรวม ๆ แล้วก็โอเคอยู่

page09

ต่อด้วยของหวานอย่างดาร์คช็อคโกแลตปั่น ณ Godiva ในห้างเดียวกันค่ะ 590 เยน บอกได้คำเดียวว่า มันอร่อยมากกกกกกกกกกกกกกกกกก

IMG_9279

จากนั้นกลับเข้าโตเกียว ไปลงที่อุเอโนะ แล้วกดน้ำจากตู้ขายอัตโนมัติมาอีกแล้ว เป็นน้ำส้มยูซุเลมอนค่ะ กลิ่นหอมมากกกกก อร่อยด้วย เป็นเครื่องดื่มร้อนนะคะ แต่อร่อยทีเดียว

IMG_9283

ต่อด้วย Jagariko รสสุกี้ยากี้ … เออ เอาเข้าไป รสแปลก ๆ แต่ก็กินค่ะ อร่อย ชอบ ๆ

IMG_9284

ปิดท้ายวันนั้นด้วยไอศกรีม Haagen-Dazs ค่ะ แต่เปลี่ยนเป็นรสชาเขียวบ้าง ก็หอมชาเขียว รสชาเขียวเข้มข้น อร่อยดีค่ะ สมราคาเนาะ

IMG_9285

กระโดดข้ามไปมื้อเที่ยงวันที่ 6 … แอบงงอยู่เหมือนกันว่ามื้อเช้าหายไปไหน ?

ไปกินข้าวในห้างบนสถานีชิบูยะมั้งคะ ไม่แน่ใจอย่างแรงเลย เป็นร้านแนว ๆ สลัดนะ แปลก ๆ ดีค่ะ แต่ก็อร่อยดี ร้านนี้น่าจะฮิตนะคะ คิวยาวพอสมควรเลย ราคา 2 เซ็ทอยู่ที่ 2460 เยนค่ะ

page10

กระโดดข้ามไปมื้อเย็นเลย เป็นร้านตู้กดเมนูหยอดเหรียญอะค่ะ แถว ๆ อุเอโนะ ได้มาเป็นข้าวหน้าเนื้อ กับแกงกะหรี่ค่ะ รวม 1220 เยน ถูกและอร่อยค่ะ ^^

page11

มื้อเช้าวันที่ 7 วันสุดท้าย ก็ซื้อข้าวกล่องมาเวฟกินกันค่ะ เอาเร็วเข้าว่าเนาะ ของเคโกะเป็นข้าวหน้าเต้าหู้ค่ะ หยิบมาด้วยความคิดถึงไต้หวันอย่างแรงงิ ^^”

IMG_9338

ข้ามไปที่สนามบินเลยค่ะ ซื้อชามะนาวขวดนี้ที่ร้านค้าแถว ๆ เกทนั่นแหละ อร่อยค่ะ ชอบอีกแล้ว คือ มันไม่หวานแหลม และหอมมะนาวดีอะค่ะ

IMG_9349

ส่วนอาหารบนเครื่องขากลับนั้น เลือกเป็นผัดไทยค่ะ เคโกะว่าอร่อยเกินความคาดหมายอยู่นะ แต่ไม่ถึงกับอร่อยเวอร์วัง แนะนำไรงี้นะคะ

IMG_9350

ปิดท้ายของกินด้วยช็อคโกแลตเหล้า แอลกอฮอล์ 3.7% ค่ะ ผสมลูกเกดด้วย ไปได้มาจากดองกี้ค่ะ อร่อย ได้รสชาติเหล้าพอกรึ่ม ๆ ค่ะ ใครชอบแนวนี้ จัดได้เลยค่ะ

IMG_9375

ก็เป็นอันจบทริปญี่ปุ่น 2017 ไปอย่างสมบูรณ์แล้วนะคะ แหะๆ ลากข้ามมาหลายเดือนเลยทีเดียว ^^”

แล้วเจอกันใหม่ในโพสต์ถัดไปค่ะ

Walking around Yokohama, Japan

สวัสดีค่ะ กลับมาทำงานกันต่อไปหลังวันหยุดย้าวยาวในช่วงสงกรานต์นะคะ ^^”

โพสต์นี้ต่อเนื่องจากโพสต์ก่อนนู้นนนนที่พาไปเที่ยว Fujiko F. Fujio Museum ค่ะ หลังจากเดินในมิวเซียม และทานข้าวเที่ยงแล้ว ก็ดิ่งไปเมือง Yokohama กันต่อ ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ใกล้ ๆ โตเกียว เป็นทางผ่านกลับเข้าโตเกียวค่ะ

Place : Yokohama
Location : Yokohama city
Direction : take JR train (หรือสายอื่นก็ได้ค่ะ แต่เคโกะเลือกสายเจอาร์นะคะ) to Yokohama station
Visited date : 12 Jan 2017
Pass : Minato Mirai line 1-day pass 460Y
Admission Fee : แล้วแต่สถานที่ ส่วนใหญ่ที่ไปก็ฟรีค่ะ

เมื่อนั่งรถไฟมาถึงเมืองโยโกฮามะ ก็ดิ่งเข้าไปที่ศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยวเลยค่ะ ที่นี่พนักงานพูดอังกฤษได้ดี และแนะนำการท่องเที่ยวในเมืองโยโกฮามะให้ได้ดี แนะนำพาสที่ควรจะใช้ด้วยค่ะ หลังจากที่ดูเวลาแล้วก็ต้องตัด Ramen Stadium ออก ซึ่งอยู่ค่อนข้างไกลจากที่อื่น ๆ ที่กระจุก ๆ ตัวอยู่ระแวกเดียวกันค่ะ แล้วก็เลยตกลงใจที่ Minato Mirai line แบบหนึ่งวัน ราคา 460 เยน ซึ่งสามารถกดซื้อที่ตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติหน้าสถานีได้เลย

IMG_9259

สถานที่แรกที่ไปกันก็คือ China town ค่ะ ไม่แน่ใจว่าพวกเราไปวันธรรมดากันหรือเปล่า ดูคนค่อนข้างบางตา ร้านค้าก็ไม่ค่อยคึกคักเท่าที่คิดไว้ค่ะ

DSC_2164

นักท่องเที่ยวแลดูบางตาไปหน่อยในความคิดอะนะคะ คิดว่าน่าจะต้องพลุกพล่าน คึกคักกว่านี้

DSC_2167

จากนั้นเราก็ไปต่อที่โกดังสีแดงริมทะเลค่ะ จริง ๆ ไม่ได้อยู่ในแผนเลย แต่พนง.ที่ศูนย์ข้อมูลท่องเที่ยวที่เข้าไปคุยมา เค้าแนะนำมาค่ะ ก็เลยลองไปดูกัน

ลักษณะก็เป็นเหมือนโกดังยาว ๆ สีแดงอิฐ ดูโดดเด่นเป็นสง่ามาก ๆ

DSC_2187

ด้านหน้ามีลานสเก็ตน้ำแข็งด้วยค่ะ น่าเล่นดี … ถ้าเล่นเป็นอะนะ ^^”

IMG_9266

ซึ่งตัวอาคารสีแดงอิฐนั้นก็ทำเป็นร้านค้าค่ะ ด้านในเข้าไปเดินดูของช้อปปิ้งกันได้ค่ะ แต่พวกเราก็เลือกที่จะเดินต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงริมทะเลเลย

DSC_2201

วิวดี ลมแรง ทำให้อากาศหนาวมากขึ้นค่ะ แล้วมองย้อนกลับขึ้นมาก็จะเห็นชิงช้าสวรรค์ที่เป็นแลนด์มาร์คอีกที่นึงของโยโกฮามะด้วย .. แต่เราไม่ได้ไปตรงนั้นเพราะมาวันที่เค้าปิดพอดีค่ะ T^T

DSC_2207

จากนั้นก็ไปเดินในห้างต่อ หาข้าวกินกัน พอทานข้าวเสร็จออกมาด้านนอก ก็พบว่าเค้าเปิดไฟกันแล้ว จัดไฟกันได้สวยดีค่ะ

DSC_2220

ชิงช้าสวรรค์ในระยะใกล้ๆ

DSC_2228

จากนั้นเราก็ตีตั๋วกลับเข้าโตเกียวค่ะ

จริง ๆ แล้วเคโกะว่าโยโกฮามะยังมีที่เที่ยวอะไรอีกนิดหน่อย จัดเป็น 1-day trip น่าจะเหมาะสมกว่าค่ะ แต่เคโกะมีเวลาน้อยมากกกกก ก็เลยได้มาประมาณนี้เอง 😦

สำหรับรีวิวของทริปญี่ปุ่นนั้นก็ยังคงค้างอยู่อีกเพียงโพสต์เดียว จะมารวบรวมของกินที่กินแหลกไปในทริปญี่ปุ่นค่ะ ติดตามกันด้วยน้าาาา~

แล้วเจอกันค่ะ จะรีบมาเขียนค่ะ เพราะเริ่มดองไว้เยอะแล้วอ่าาา ^^”

 

The Seiko Museum, Japan

สวัสดีค่ะ โพสต์นี้เอาใจแฟนคลับนาฬิกาสักหน่อยนะคะกับแบรนด์นาฬิกาชื่อดังของญี่ปุ่นแท้ ๆ .. ที่พอเข้ามาในไทยปุ๊บ ชื่อก็เพี้ยนไปทันทีค่ะ 555

เรามาทำความรู้จักกันนะคะ

Place : The Seiko Museum
Location : Sumida, Tokyo
Direction : Follow the direction as shown in website (http://museum.seiko.co.jp/en/use/access/index.html)
โดยส่วนตัวเองใช้วิธีนั่ง Metro ไปถึงสถานี Otemachi แล้วเปลี่ยนสายไป Tobu Skytree Line ลงที่สถานี Higashi-Mukojima จากนั้นเดินต่อไปอีกประมาณ 8 นาที
Opening hours : 10.00am-4.00pm (except Monday, national holidays, year-end and new year holidays)
Visited date : 13 Jan 2017
Pass : no
Admission Fee : Free (call for reservation before visit — แต่เคโกะโทรไปจองไม่สำเร็จค่ะ เลยวอล์คอินดื้อ ๆ เลย แต่พนง.ก็ให้เข้าค่ะ ไม่ได้เข้มงวดอะไร)
Website : http://museum.seiko.co.jp/en/

ขอเริ่มต้นตั้งแต่ชื่อแบรนด์นาฬิกาที่คนไทยรู้จักและคุ้นเคยกันดีกับคำว่า “ไซโก้” ก่อนเลยนะคะ มั่นใจมาก ๆ ว่าถ้าพูดคำว่า “ไซโก้” ให้คนญี่ปุ่นฟัง เค้าจะไม่รู้เลยค่ะว่าหมายถึงนาฬิกายี่ห้ออะไร เพราะเมื่อไซโก้เข้ามาในไทยนั้นได้มีการเพี้ยนเสียงไปค่ะ ซึ่งตรงนี้เดาว่าเพื่อให้ฟังดูมีความหมายดีในมุมของภาษาไทยค่ะ

Seiko (セイコー)คำนี้ออกเสียงตามภาษาญี่ปุ่นว่า “เซ-โค” ค่ะ (เสียงยาวทั้งสองพยางค์)

การเดินทางอย่างละเอียดนั้น จะขอเริ่มจากสถานี Higashi-Mukojima ค่ะ เมื่อเดินออกจากเกทประตูที่หย่อนตั๋วรถไฟแล้วก็จะเห็นป้ายบอกทางเลยค่ะ ว่าให้ไปทางซ้ายและเดินไปประมาณ 8 นาที

IMG_9294

พอเดินไปทางซ้ายก็จะเป็นถนนสายเล็ก ๆ ค่ะ ก็เดินไปตามถนนเรื่อย ๆ ล่ะค่ะ

IMG_9295

เดินไปตามถนนเรื่อย ๆ จนกระทั่งออกมาถึงถนนใหญ่ที่ตัดผ่านตรงหน้า

IMG_9296

แล้วก็เลี้ยวขวาไปทางสะพานลอย แต่ไม่ข้ามสะพานลอยนะคะ เดินไปตามถนนเรื่อยๆ

IMG_9297

จากนั้นข้ามทางม้าลาย (จริง ๆ ข้ามสะพานลอยก็ได้เนอะ 555) ตรงในรูปเลยค่ะ ซึ่งจากตรงนี้ก็มองเห็นตึก Seiko Museum จากไกล ๆ แล้วล่ะค่ะ ซึ่งก็คือตึกสีเทา ๆ นั่นเองค่ะ

IMG_9298

ข้ามถนนมาแล้วก็เลี้ยวเข้าไปในซอยโลด

IMG_9299

เดินเข้าซอยมานิดเดียว ก็จะเห็นคำว่า “SEIKO” แล้วล่ะค่ะ ก็เดินดิ่งตรงไปหาเล้ยยย

IMG_9300

แต่ทางเข้ามิวเซียมนั้นจะอยู่ด้านหน้าที่ติดถนนใหญ่ เพราะฉะนั้นก็เดินต่อมาจนถึงปากซอยค่ะ ในรูปด้านล่าง Seiko Museum ก็จะอยู่ทางซ้ายมือค่ะ

IMG_9301

พอเอียงซ้ายมาปุ๊บก็เจอกับวิวนี้เลยค่ะ ป้ายด้านบนเด่นชัดว่าที่นี่คือ “The Seiko Museum” นะคะ พร้อมด้วยภาษาญี่ปุ่นกำกับแบบตรงตัว セイコーミユージアム (อ่านตามเสียงภาษาญี่ปุ่นว่า “เซ-โค-มิว-จิ-อะ-หมุ”  — ตรงนี้เผื่อใครที่จะจดคำภาษาญี่ปุ่นไว้กรณีถามทางไรงี้นะคะ)

DSC_2241

ป้ายด้านข้างกำแพงสวยเด่นเป็นสง่ามากกกกกกก

DSC_2243

เนื่องจากพวกเราไปถึงก่อนเวลามิวเซียมเปิด ก็เลยเดิน ๆ ยืน ๆ รออยู่ด้านหน้าจนใกล้ถึงเวลาเปิด พนง.เค้าเห็นเข้าเลยเปิดประตูเชื้อเชิญให้พวกเราเข้าไปด้านในค่ะ แต่ก็ต้องรอเวลาเปิดซะก่อน ก็เลยถ่ายรูปบริเวณด้านหน้าเคาน์เตอร์ไปพลาง ๆ

DSC_2249

แผ่นพับในมิวเซียมสามารถหยิบได้ฟรีค่ะ แต่ส่วนใหญ่ (อาจจะทั้งหมดนะคะ เคโกะไม่ได้ดูอย่างละเอียดค่ะ) เป็นภาษาญี่ปุ่นค่ะ

DSC_2253

แบ็คดร็อปสวย ๆ หลังเคาน์เตอร์บ้าง

DSC_2255

พอ 10 โมง พนง.ก็เชื้อเชิญให้เราเข้าไปด้านในได้แล้วค่ะ ซึ่งก่อนเข้าไปก็ได้ถามพนง.ดูว่าถ่ายรูปด้านในได้มั้ย ซึ่งก็ไม่มีปัญหาค่ะ ถ่ายรูปได้ตามสบายเลย ^^

DSC_2257

ด้านในของมิวเซียมชั้นล่างก็จะจัดแสดงถึงวิวัฒนาการความเป็นมาของนาฬิกาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันค่ะ

DSC_2261DSC_2266DSC_2268

มีการจัดแสดงชิ้นส่วนเล็ก ๆ ผ่านแว่นขยายให้ดูประกอบด้วย ซึ่งจัดทำได้ดีมากค่ะ ขนาดเคโกะเองที่ไม่ได้สนใจนาฬิกาเท่าไหร่ก็ยังรู้สึกทึ่งในการจัดแสดงเลยล่ะค่ะ

DSC_2274

มีนาฬิกาโบราณและหายากจัดแสดงให้ได้ชมกันด้วย ซึ่งตรงนี้น่าจะเป็นนาฬิกาพกละมั้งคะ แหะๆ

DSC_2284

นอกจากนั้นแล้วยังมีห้องนึงในชั้นล่างใกล้ ๆ กับลิฟท์ที่จัดแสดง Seiko กับกีฬาที่ต้องมีการใช้นาฬิกาจับเวลาด้วยค่ะ

DSC_2287DSC_2296

จากนั้นก็เข้าสู่ชั้น 2 ค่ะ ซึ่งก็จะจัดแสดงเกี่ยวกับนาฬิการุ่นต่าง ๆ ของ Seiko รวมถึงแสดงวิวัฒนาการนาฬิกาของ Seiko เองด้วยค่ะ

มีการจัดแสดงชิ้นส่วนของ Grand Seiko ด้วย ดูแล้วตื่นตาตื่นใจอีกแล้วค่ะ

DSC_2311

จากนั้นก็เป็นนาฬิการุ่นต่าง ๆ ในช่วงปีต่าง ๆ กันค่ะ เคโกะแปะรูปไปยาว ๆ เลยก็แล้วกันนะคะ ^^”

DSC_2359DSC_2362

DSC_2370

เหมือนนาฬิกาปลุกเลยอะ น่ารักมากกกก กดแล้วมีเสียงด้วยค่ะ

DSC_2376DSC_2379DSC_2386DSC_2387

 

โดยรวม ๆ แล้วก็คือ เหมาะกับคนที่ชอบนาฬิกา หรือชอบ Seiko ค่ะ เดินทางไม่ยากจนเกินไป และนาฬิกาก็เยอะดีอยู่ จริง ๆ ที่นี่มีเครื่องฟังคำอธิบายด้วย ถ้าจำไม่ผิดจะมีแต่ภาษาญี่ปุ่นมั้งนะคะ แล้วก็มี iPad ให้ยืมใช้เพื่อเอาไปรับสัญญาณที่จุดต่าง ๆ ที่เป็นตัวส่งสัญญาณอะค่ะ แล้วหน้าจอก็จะแสดงคำอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับชิ้นงานที่จัดแสดงเป็นภาษาอังกฤษให้เราอ่านค่ะ

เชื่อว่าคนที่ชื่นชอบนาฬิกาจะสามารถขลุกอยู่ที่นี่ได้ครึ่งวันเลยค่ะ

อีกทั้งพนักงานก็ยิ้มแย้มต้อนรับเป็นอย่างดีค่ะ ขากลับหยิบโบรชัวร์มาซะเยอะก็ยังเอาถุงใส่ให้ด้วยค่ะ ^^

 

แล้วเจอกันในโพสต์ถัดไปนะคะ ^^ สวัสดีปีใหม่ไทย 2560 ค่ะ

 

Mount Mitake

สวัสดีค่ะ โพสต์นี้พาไปปีนเขาหน้าหนาวกันค่ะ มาดูกันว่าจะเป็นยังไงกันบ้างเนาะ

Place : Mount Mitake / Mitake-san / 御岳山 / เขามิตาเกะ
Location : Mitake, Okutama
Direction : จากสถานี Tokyo นั่งรถไฟสาย JR ไปสถานี Mitake (Tokyo) ราคา 1080Y (ซื้อผ่านเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติหรือเจ้าหน้าที่ก็ได้ค่ะ) เมื่อถึงสถานี Mitake แล้วออกจากสถานี เลี้ยวซ้าย ข้ามถนน จะมีป้ายรถบัสไปสถานีเคเบิ้ลคาร์อยู่ เที่ยวละ 280Y จากนั้นก็ซื้อตั๋ว cable car ขึ้นไป 1110Y (Round-trip ticket)
Visited date : 11 Jan 2017
Pass : no
Admission Fee : Free
Website : http://www.mitaketozan.co.jp/ (ภาษาญี่ปุ่น)

หลังจากที่ไปปีนเขาที่ไต้หวันและฮ่องกงจนติดใจแล้วก็มาถึงคิวญี่ปุ่นค่ะ แต่เผอิญไปหน้าหนาวก็เลยลองเสิร์ช ๆ หาเขาที่ปีนง่าย ๆ และไม่ไกลโตเกียวนัก จนมาเจอกับที่นี่เข้า แล้วแถมยังเป็นที่ถ่ายทำเรื่อง “ข้างหลังภาพ” ด้วย ก็เลยตัดสินใจเลือกไปปีนเขาที่นี่ค่ะ แต่หลังจากเสิร์ชหาข้อมูลดูแล้ว เค้าจะแนะนำไปฤดูร้อน, ใบไม้ผลิ หรือใบไม้ร่วงก็ได้หมด ไม่มีใครไปหน้าหนาวเลย … เอาแล้วไงล่ะ ทำไงดี แต่ก็นะ The show must go on ค่ะ เคโกะก็เปรี้ยวจะไปหน้าหนาวอ่ะ ไปแล้วจะได้รู้ค่ะว่าไปหน้าหนาวมันเป็นยังไง ปลอบใจตัวเองเบา ๆ ด้วยการบอกกับตัวเองว่า “เอาน่าาา .. มาหาข้อมูลทำรีวิว ถ้าไม่ดี จะได้รู้ว่าทำไมเค้าถึงไม่ไปหน้าหนาวกัน คนอื่นจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปตามเรานะ”

ตามมาเลยค่ะ

นั่งรถไฟไปราว ๆ 2 ชม.ก็มาถึงสถานีมิตาเกะ แล้วก็เดินไปทางซ้าย ข้ามถนนตามลายแทง เดินไปอีกนิดเดียวก็จะเจอป้ายรถบัสค่ะ ใกล้ ๆ มี 7-11 สามารถเดินไปซื้อของกินมาตุนไว้ก่อนได้นะคะ

DSC_2030

รออยู่พักนึง รถก็มาค่ะ ซึ่งก็มีตารางเวลาเดินรถแปะอยู่ที่ป้ายนั่นแหละนะ รถบัสสายนี้วิ่งแค่จากสถานีรถไฟมิตาเกะ ไปถึงสถานีเคเบิ้ลคาร์เท่านั้นเองค่ะ

ไปถึงสถานีเคเบิ้ลคาร์แล้วก็หยอดเหรียญซื้อตั๋วกันต่อ จำราคาต่อเที่ยวไม่ได้นะคะ แต่ซื้อตั๋วไปกลับคุ้มกว่าค่ะ ประหยัดขึ้นนิดนึง และสามารถเอาสัตว์เลี้ยงขึ้นไปเดินเล่นด้วยกันได้ด้วยนะคะ (มีตั๋วสัตว์เลี้ยงด้วยเน้อ ซื้อได้ที่ตู้ขายตั๋วอัตโนมัตินี้ได้เลยค่ะ)

IMG_9167

เสร็จแล้วก็เดินไปขึ้นรถรางกันค่ะ หน้าตาจะประมาณนี้

DSC_2031

ในรถรางตอนหน้าสุดจะเป็นพื้นที่ของสัตว์เลี้ยงค่ะ มีป้ายแปะบอกอยู่ด้วยนะ

DSC_2036

พอขึ้นมาถึงด้านบน ออกจากสถานีแล้วก็ถึงกับตกใจค่ะ หิมะเต็มไปหมดเลยยยยยยยยยยยย

DSC_2039

ดูวิวภูเขาไกล ๆ ก็ยังมีสีขาวหิมะแซม ๆ อยู่เลยนะเนี่ย เริ่มเอะใจเบา ๆ แล้วค่ะว่าจะยังปีนเขากันได้มั้ยยยย…

DSC_2041

ก่อนที่จะเดินไปไหน ก็ดูแผนที่กันก่อนค่ะ จุดหลัก ๆ ที่มาแล้วก็ต้องแวะกันก็คือศาลเจ้ามุซาชิ มิตาเกะ (Musashi Mitake Shrine) ค่ะ นอกจากนั้นก็จะมี Rock Garden และ Nanaya Waterfall

IMG_9172

ก็เริ่มต้นเส้นทางเดินไปศาลเจ้ากันค่ะ ตลอดทางยังคงมีหิมะกองข้างทางอยู่เลยนะคะ ถนนค่อนข้างลื่น บางช่วงก็ชันค่ะ แต่ก็มีราวให้จับอยู่ข้างทางกันล้มด้วยนะ

DSC_2050

ก็เดินไปตามทางเรื่อย ๆ มีป้ายบอกเป็นระยะ ๆ ค่ะ (ป้ายบอกทางส่วนใหญ่เป็นภาษาญี่ปุ่นนะคะ)

แล้วก็มาหยุดพักเหนื่อยเอาแถว ๆ นี้ เพราะหิมะบนหลังคาบ้านเป็นทรงน่ารักดี 555

DSC_2060

ทุกทางแยกก็จะมีป้ายบอกทางแบบนี้ค่ะ แต่ป้ายตรงนี้ฮามากกกก คือทางเป็นตัว Y อ่ะค่ะ แล้วแยกทางหนึ่งเป็นทางขึ้นเขาไปอีก ก็เลยทำป้ายชี้ขึ้นแบบนี้ซะเลยยยย เอิ่มมมม .. ถ้าจะทำป้ายแบบนี้แล้วหลงก็ให้มันรู้ไปสิคะ ^^!

DSC_2062

เดินไปอีกพักใหญ่ ในที่สุดก็เดินมาถึงจนได้ค่ะ

DSC_2072

พอเดินลงมาแล้วก็เพิ่งสังเกตเห็นค่ะว่าบริเวณบ่อน้ำล้างมือหน้าศาลเจ้า มีอ่างน้ำและกระบวยสำหรับสัตว์เลี้ยงที่จูงขึ้นมาด้วยอ่ะ น่ารักดีนะคะ

DSC_2083

จากนั้นก็เดินหาทางไป Rock Garden ต่อ มาเจอป้ายนี้เข้าก็งง ๆ กันไป จะไปทางไหนดีนิ

DSC_2085

แล้วก็เดินตามป้ายไปทางซ้ายค่ะ ก็เดินไปตามทางเนาะ ป้ายบอกทางมีอยู่เป็นระยะ ก่อนที่ป้ายจะหายไป และก็เป็นทางเข้าป่าแบบเต็มตัวค่ะ มีทางเดินเล็ก ๆ วนรอบเขา ซึ่งเราก็เดินไปตามทางนั้นนะ ซึ่งทางเดินก็มีแต่หิมะปกคลุม สลับน้ำแข็งเป็นบางช่วงค่ะ ค่อนข้างลื่นทีเดียว และที่สำคัญคือ ไม่มีใครมาเดินกับพวกเราเลย T.T

IMG_9182

วน ๆ อยู่นานก็ตัดสินใจเดินย้อนกลับมาทางเดิม ยอมแพ้ดีกว่าค่ะ

นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่เค้าไม่เดินไป Rock Garden กันในช่วงหน้าหนาวนะคะ ทางเดินอันตรายอยู่ค่ะ ลื่นพอสมควร และข้างทางคือเหวดี ๆ นี่เอง เกิดลื่นล้มไปนี่คือ ตกเขาล้วน ๆ ค่ะ ไม่มีเซฟตี้ใด ๆ ทั้งสิ้นเลย T.T

เพราะฉะนั้น ก็มาในฤดูที่เค้าแนะนำกันเถอะค่ะ TT_________TT

และก็บ่ายคล้อยแล้ว เรายังต้องกลับโตเกียวกันด้วย ก็เลยกลับเลยค่ะ มาแค่นี้เองจริง ๆ – -” ไว้มาแก้ตัวใหม่รอบหน้าละกันนะ แหะๆ

นั่งรถรางกลับลงไปด้านล่างเหมือนขามาค่ะ

IMG_9184

แล้วจากนั้นก็นั่งรถบัสย้อนกลับมาที่สถานีรถไฟมิตาเกะเหมือนขามา มองลงไปด้านล่างใต้สะพานข้ามคลองด้านหน้าสถานีแล้วเห็นลำธารสวยดี เลยลงไปเดินเล่นอีกนิดก่อนจะกลับค่ะ

มุมมองจากบนสะพานนะคะ

DSC_2088

มีทางเดินลงไปด้านล่างอยู่ ก็เดินลงไปเลยค่ะ

ด้านล่างนั้น วิวสวยมากกกกกกกกกกกกก น้ำใสกิ๊งงงงงงงงงงงเลยค่ะ

DSC_2102

ชื่นชมวิวกันอีกพักใหญ่ ก็กลับโตเกียวจริง ๆ แล้วค่ะ

เนื่องจากสถานีมิตาเกะนี้เป็นสถานีเล็ก (เหรอออ) เลยไม่มีนายสถานีนะคะ ซื้อตั๋วเองกับตู้ขายตั๋วอัตโนมัติ ซึ่งงงง มีแต่ภาษาญี่ปุ่นค่ะ ก็เลยต้องเอาความรู้ภาษาญี่ปุ่นที่มีอยู่อย่างน้อยนิดขึ้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์

ในที่สุดก็ซื้อตั๋วมาจนได้ ท้าด่าาาาาาา…

IMG_9185

ก็เป็นอันจบทริปแบบ 1-day trip ไปเขามิตาเกะค่ะ

สรุปอีกสักรอบ เขามิตาเกะนี้ไปได้หมดทุกฤดู ยกเว้นฤดูหนาวค่ะ ไม่แนะนำจริง ๆ 

เคโกะเองก็แพลนไว้ในใจเหมือนกันนะว่าหากได้ไปช่วงฤดูอื่น ๆ ก็อยากจะไปแก้มือที่นี่อีกสักรอบค่ะ ^^”

 

 

Fujiko.F.Fujio Museum

สวัสดีค่ะ โพสต์นี้เคโกะขอพาย้อนวัยเด็กนิดนึงนะคะ เชื่อว่าส่วนใหญ่น่าจะรู้จักตัวละครการ์ตูนผลงานของอาจารย์ Fujiko.F.Fujio กันดีอยู่แล้ว อย่างน้อย ๆ ก็โดราเอมอนแหละนะ ^^”

Place : Fujiko.F.Fujio Museum
Location : Kawasaki city
Direction : Shuttle bus service run from Noborito Station (Odakyu line or JR Nanbu line) — แนะนำนั่งรถชัทเทิลบัสนะคะ ไม่แนะนำเดินค่ะ ไกลจริง ๆ รถชัทเทิลบัสนั้นเที่ยวละ 210Y ค่ะ ไม่ฟรีน้าาา..
Visited date : 12 Jan 2017
Pass : no
Admission Fee : 1000Y (นักเรียนมัธยม 700Y, เด็ก 4 ขวบขึ้นไปจนถึงก่อนมัธยม 500Y, เด็กต่ำกว่า 4 ขวบ ฟรี) ซึ่งต้องซื้อตั๋วล่วงหน้าผ่าน Lawson Loppi หรือตู้ซื้อตั๋วอัตโนมัติ ในร้าน Lawson ค่ะ
Website : http://fujiko-museum.com/english/

ก่อนจะพาไปเข้าชมพิพิธภัณฑ์นั้น เคโกะขออธิบายถึงวิธีการซื้อตั๋วก่อนนะคะ ซึ่งก็อย่างที่บอกไปแล้วว่าตั๋วเข้าชมนี้จำเป็นที่จะต้องซื้อก่อนเข้าชมค่ะ สามารถซื้อผ่านตู้ขายตั๋วอัตโนมัติในร้านลอว์สันเลย ซึ่งในเว็บไซต์ก็จะมีวิธีการแนะนำอยู่แล้ว … แต่เอาเข้าจริง ๆ หน้าจอไม่เหมือนกับในเว็บที่อธิบายไว้ค่ะ T.T

แล้วสุดท้ายก็ต้องให้พนง.ร้านช่วยกดจองตั๋วให้ พอเสร็จแล้วก็จะได้สลิปยาว ๆ มาแบบนี้ค่ะ

IMG_9155

จากนั้นก็เอาสลิปไปชำระเงินที่เคาน์เตอร์ ก็จะเปลี่ยนมาเป็นตั๋วหน้าตาแบบนี้ค่ะ ซึ่งสามารถใช้เข้ามิวเซียมได้เลย

IMG_9209

เสร็จจากเรื่องตั๋วแล้ว ก็มาเริ่มต้นการเดินทางกันซะทีค่ะ ^^

วันนั้นเคโกะเริ่มต้นด้วยการนั่งรถไฟสาย JR ไปลง Kawasaki แล้วเปลี่ยนสายไป Noborito เสร็จแล้วก็ออกมาทางออก ก็จะมีป้ายบอกทางเลยนะคะว่าป้ายรถชัทเทิลบัสไปทางไหน

IMG_9214

เดินไปทางซ้ายตามป้ายบอก นิดเดียวเองก็จะมาถึงป้ายรถบัสแล้วค่ะ

DSC_2118

หน้าตารถบัสก็จะเพ้นท์ตัวละครการ์ตูนที่ยอดนิยมของอาจารย์ Fujiko.F.Fujio ค่ะ สวยสะดุดตา ดึงดูดใจสำหรับแฟนและคนที่ชื่นชอบเป็นอย่างดี

IMG_9255

พอไปถึงด้านหน้ามิวเซียมแล้ว ก็จะมีพนง.มาเช็คตั๋ว อธิบายข้อระเบียบการเข้าชมมิวเซียม (ภาษาญี่ปุ่น แซมด้วยอังกฤษเฉพาะคำที่สำคัญ แต่มีป้ายอธิบายประกอบค่ะ)

แล้วเมื่อเข้ามาด้านใน สามารถยื่นตั๋วให้กับพนง.เพื่อแลกเป็นเครื่องฟังพกพาสำหรับฟังคำอธิบายแต่ละจุดในมิวเซียมได้ (มีภาษาอังกฤษด้วยค่ะ แจ้งได้เลย) แผนที่ในมิวเซียม และตั๋วสำหรับชมภาพยนตร์ในมิวเซียมค่ะ

ด้านในห้องจัดแสดง บางจุดก็ถ่ายรูปได้ บางจุดก็ห้ามถ่ายรูปนะคะ ซึ่งในส่วนของมิวเซียมที่อธิบายชีวประวัติของอาจารย์ Fujiko.F.Fujio และผลงานเด่นนั้นทำได้น่าสนใจมาก ๆ เลยค่ะ รวมทั้งมีการจัดแสดงผลงานหายาก แสดงวิวัฒนาการของการ์ตูนแต่ละเรื่อง ไรงี้ค่ะ

อย่างโดราเอมอน การ์ตูนขวัญใจเด็ก (และผู้ใหญ่) ทั่วโลก ลายเส้นยุคแรกก็จะดูแปลกตา โดราเอมอนก็จะดูอ้วน ๆ กว่ายุคปัจจุบันค่ะ

DSC_2119

ยุคถัดมาก็เริ่มมีเฉดดิ้ง มีการใช้ตัวพิมพ์แทนการเขียนแบบยุคแรก ๆ

DSC_2126DSC_2128

นอกจากนี้ บริเวณรอบ ๆ มิวเซียมเองก็จะมีโมเดลการ์ตูนยอดฮิตของอาจารย์แทรกอยู่เป็นระยะ ๆ ให้เราได้ค้นหาด้วย ก็เป็นกิจกรรมที่ทำให้คนมาเข้าชมทำได้อย่างเพลิน ๆ ดีค่ะ

ด้านนอกของห้องจัดแสดงก็เป็นไจแอนท์กับบ่อวิเศษค่ะ ตรงนี้มีลูกเล่นนิดหน่อยให้สนุกสนานด้วยค่ะ

DSC_2130

จากนั้นก็ออกจากห้องจัดแสดง มาบริเวณโถงกลาง ซึ่งมีกิจกรรม มีจุดนั่งเล่นอะไรอีกหลายอย่างค่ะ

DSC_2135

ในรูปข้างบนตรงด้านซ้ายสุดในรูปจะเป็นทางเข้าห้อง theater ค่ะ เป็นห้องชมภาพยนตร์เล็ก ๆ สั้น ๆ ความยาวประมาณ 10 – 15 นาทีได้ ซึ่งเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมดค่ะ ด้วยความรู้ภาษาเท่าหางอึ่งของเคโกะดูแล้วก็เข้าใจนะคะ พอหันไปถามคุณผู้ชายที่ไปด้วยกัน ซึ่งเค้าไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นเลย เค้าก็ดูเข้าใจเหมือนกันค่ะ ก็นะ การ์ตูนเป็นภาษาสากลเนอะ 555

มุมนั่งเล่นโดราจังก็น่ารักค่ะ

DSC_2132

แล้วก็มุมกาชาปองอันบิ๊กเบิ้ม อันนี้เคโกะชอบมาก ถึงกับรีบวิ่งไปหยอดเลยอ้ะ

DSC_2134

จากนั้นก็ออกไปเดินบริเวณกลางแจ้ง เดินถ่ายรูปกับโมเดลการ์ตูนโดราเอมอนค่ะ

DSC_2136

ประตูวิเศษก็มา

DSC_2141

ไดโนเสาร์พีสุเกะ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นโดราเอมอนภาคพิเศษตอนแรกที่วางตลาดนะคะ ก็มาด้วย ตอนนี้น่าจะเป็นที่ชื่นชอบของใครหลาย ๆ คนค่ะ

DSC_2147

โดเรมีก็มากับเค้าด้วยนะ

DSC_2161

นอกจากนี้แล้ว ผีน้อยคิวทาโร่ อีกหนึ่งในผลงานยอดฮิตของอาจารย์ก็มีจัดแสดงด้วยค่ะ

DSC_2158

สุดท้ายก็หุ่นอัจฉริยะตัวนี้ (ลืมชื่อซะแล้ว แหะๆ >< ) ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องในผลงานที่เคโกะก็รู้จัก เคยอ่านอยู่ค่ะ

DSC_2160

นอกจากนี้แล้ว ก็ยังมีส่วนของคาเฟ่ด้วย ซึ่งเคโกะไม่ได้เข้าไปลองทานหรือลองสั่งอาหารดูอะนะคะ ก็กลับเลยเพราะต้องไปที่อื่นต่ออีก

พอเดินลงมาชั้นล่างซึ่งเป็นทางออก ก็จะต้องผ่านด่านร้านขายของฝากก่อนค่ะ จากนั้นก็เดินผ่านออกไปได้เลย ก็จะเป็นด้านหน้ามิวเซียม จุดรอรถบัสเพื่อวนกลับไปที่สถานีตามเดิมเหมือนขามาค่ะ

โดยรวม ก็เป็นมิวเซียมที่น่าสนใจดีค่ะ เข้าชมได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่เลยค่ะ ^^ 

 

Odaiba

สวัสดีค่ะ หลังจากโพสต์ที่แล้วที่พาไปคาวะโกะเอะมา ก็มีช่วงเวลาอีกครึ่งบ่ายจนถึงเย็นที่ยังว่างอยู่ก็เลยเลือกที่จะไปโอไดบะ (Odaiba) ค่ะ และไปอำลาหุ่นกันดั้มที่กำลังจะโดนยกออกในวันที่ 5 มีนาคม 2017 นี้ด้วย (มาโพสต์เอาตอนนี้ เหลืออีกไม่กี่วันเองอ่ะนะ – -” )

Place : โอไดบะ / Odaiba
Location : Tokyo
Direction : by Rinkai Line / Yurikamome, by boat or walk
Visited date : 10 Jan 2017
Pass : no

วันนั้นเคโกะนั่งรถกระดึ๊บ ๆ ไปเรื่อย ๆ จาก Kawagoe มาจนถึง Shin-Kiba แล้วก็มาต่อรถไฟสาย Rinkai line ไปลงที่สถานี Tokyo Teleport (270Y) เดินออกจากสถานีก็จะเจอกับตึก Diver City ใหญ่บิ๊กบึ้มตรงหน้าเลยค่ะ

dsc_1940

ฝั่งตรงข้ามก็คือ Fuji Television เป็นจุดหมายที่เราจะไปกันก่อนเป็นอันดับแรกเลย เพราะที่นี่เค้ามีเวลาปิด-เปิดอยู่ เกรงว่าจะไม่ทันเวลาปิดค่ะ

dsc_1941

ก็เดินข้ามสะพานลอยยาว ๆ ไปอ่ะเนอะ ลงจากสะพานลอยแล้วก็เดินเข้าตึกไปเลยค่ะ ง่ายและสะดวกมาก ๆ

ด้านล่างก็จะเป็นลักษณะห้องโถงใหญ่ พร้อมโต๊ะเก้าอี้นั่งพักผ่อนจำนวนนึง และมีการ์ตูนมาเป็นตัวเรียกแขก ซึ่งการ์ตูนเรื่องนี้เคโกะไม่รู้จักอะ – -”

dsc_1943

ด้านข้างก็มีโมเดลจำลองฉากในการ์ตูนเรื่องนี้ด้วย เนื่องจากไม่ได้ดูก็เลยไม่มีคำอธิบายค่ะ แหะๆ – -”

dsc_1945

เดินเลยเข้าไปข้างในอีกหน่อยก็มีมารูโกะคาเฟ่ด้วย ตรงนี้เป็นบริเวณด้านหน้าร้านค่ะ ไปเอาช่วงร้านใกล้ปิดเต็มที – -”

dsc_1947

กับป้ายร้านเต็ม ๆ บ้าง ซึ่งคาเฟ่นี้ค่ะ

dsc_1948

จากนั้นก็เดินวนไปมาหาลิฟท์เพื่อขึ้นไปด้านบน ชมส่วนอื่น ๆ บ้าง แต่ปรากฏว่าหาลิฟท์ไม่เจอซะงั้น -*- เลยนั่งพักแป๊บนึงแล้วค่อยเดินวนรอบ ๆ ใหม่อีกรอบก็เจอลิฟท์ค่ะ แต่ก็ปรากฏว่าส่วนชมวิวอื่น ๆ ที่เข้าได้ก็ปิดหมดแล้ว เหลือแต่ชั้น 7 ที่ยังเปิดอยู่ค่ะ แต่ก็มีแต่ FujiTV Shop เท่านั้นเองค่ะที่ไปเดินเล่นดูของได้

ด้านหน้าเป็นโมเดลวันพีซอยู่

dsc_1950

บริเวณด้านนอกก็โล่ง ๆ มืด ๆ หน่อยเพราะปิดกันไปหมดละ แอบดูน่ากลัวนิดนึง ><

dsc_1952

จากนั้นก็กลับออกมาค่ะ เดินต่อไปยัง Divercity เพื่อไปหาพี่กันดั้มสุดหล่อนั่นเอง

เดินตามป้ายในห้างไปเรื่อย ๆ สุดท้ายก็หาไม่เจอค่ะ – -” แต่ก็มาเจอด้วยความบังเอิญบริเวณฟู้ดคอร์ทที่สังเกตเห็นคนเยอะ ๆ เค้าเดินไปทางเดียวกันหมด ก็เลยลองเดินตามเค้าไปดู ถึงได้รู้ว่ากันดั้มอยู่ด้านนอกประตูตรงฟู้ดคอร์ทนี้เองค่ะ

dsc_1967

แบบเต็มตัวบ้าง

dsc_1973

ใกล้ ๆ กันก็มีกันดั้มคาเฟ่ด้วย แต่ก็ดูแล้วไม่ได้เน้นขายอาหารเครื่องดื่มเท่าไหร่อะค่ะ มีของที่ระลึกกันดั้มซะเยอะมากกว่า

dsc_1974

ถ่ายรูปจนสะใจแล้ว เดินกลับเข้ามาในตัวห้างถึงได้สังเกตเห็นป้ายนี้ค่ะ ก็คือบอกว่ามีเครื่องอธิบายเมนูเป็นภาษาต่าง ๆ รวมถึงภาษาไทยให้ใช้บริการด้วย ถือว่าเอาใจนทท.ต่างชาติได้ดีทีเดียวค่ะ

dsc_1984

นั่งพักในบริเวณนี้พักใหญ่ ก็เดินต่อไปที่ Aqua City ค่ะ ตรงนี้ก็ให้กูเกิ้ลแม็พนำทางไปแล้วค่ะ เพราะแอบมึนงงกับเส้นทางเล็กน้อย ฮาาาา…

เดินมาถึงก็เห็นบันไดเป็นสีรุ้ง ๆ สวยดีค่ะ

dsc_1985

เป้าหมายหลักที่ Aqua City ก็คือหุ่นเทพีเสริภาพกับสะพาน Rainbow Bridge นี้นั่นเองค่ะ เป็นมุมบังคับเนอะ ใคร ๆ มาก็ต้องมาถ่ายรูปค่ะ เคโกะว่าถ่ายรูปตอนกลางคืนก็สวยไปอีกแบบนะคะ

dsc_2000

ปิดท้ายกับ Odaiba กันตรงบริเวณนี้เองค่ะ ตรงที่เคโกะมายืนถ่ายรูปเทพีเสรีภาพกับ Rainbow bridge นั้นเป็นทางเดินเหมือนสะพานไม้ยาว ๆ (เดาว่าน่าจะเดินลงไปเลียบหาดด้านล่างได้ — ซึ่งเคโกะไม่ได้ลงไปเดินค่ะ เพราะดึกมากแล้ว) ก็เป็นมุมถ่ายรูปเก๋ ๆ ได้อยู่นะคะ

dsc_2017

 

นอกจากมุมถ่ายรูปมากมายแล้ว บริเวณ Odaiba ยังเป็นย่านช้อปปิ้งใหญ่อีกย่านนึงเลยแหละ ถ้ามาตอนกลางวันน่าจะช้อปปิ้งกันสนุกสนานทีเดียวค่ะ แต่เคโกะมาตอนค่ำค่อนไปทางดึก ก็เลยไม่ได้เดินสำรวจร้านค้าอะไรเลยนะคะ แต่ก็เป็นอีกย่านนึงที่น่าสนใจมากในโตเกียวค่ะ

แล้วเจอกันใหม่ในโพสต์หน้าค่ะ ^^

 

Koedo – Kawagoe

สวัสดีค่ะ โพสต์นี้จะพาไปเที่ยวแบบใกล้ ๆ โตเกียวกันค่ะ เค้าบอกว่าใช้เวลาแค่ 30 นาทีจากโตเกียวเองนะ และเป็นเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็น “Little Edo” ด้วย ซึ่งก็คือ เมือง Kawagoe (คาวะโกเอะ) นั่นเองค่ะ ตามมาดูกันเลยนะคะว่าเมืองเล็ก ๆ เมืองนี้จะน่ารัก น่าเดินเที่ยวแค่ไหน

Place : Kawagoe / คาวะโกเอะ / Little Edo / Koedo / 小江戸 / 川越
Location : Kawagoe, Saitama – เขต Kanto
Direction : take Tobu Tojo line from Ikebukuro
Visited date : 10 Jan 2017
Pass : Kawagoe Discount Pass Premium (1000Y from Ikebukuro station)
Website : http://www.koedo.or.jp/foreign/english/

คำว่า Koedo (小江戸 – โคะเอโดะ) นี้ ตัว “โคะ” แปลว่าเล็กค่ะ ก็หมายถึงเมือง Little Edo นั่นเอง ก็จะเป็นเมืองที่ยังคงบรรยากาศยุคเอโดะไว้น่ะค่ะ ฟังดูน่าสนใจเนอะ

เริ่มต้นการเดินทางที่ไหนก็ตามในโตเกียว ก็ขอให้ไปให้ถึงสถานี Ikebukuro ค่ะ แล้วมองหาทางไปสาย Tobu Tojo line ให้เจอ แล้วก็ซื้อพาสที่สถานีได้เลย ซึ่งพาสจะมีสองแบบ แต่เคโกะเลือกแบบ premium เพราะรวมค่ารถบัสใน Kawagoe ไว้แล้วด้วยค่ะ ไม่ต้องไปเสียเพิ่มอีก แล้วเจ้าหน้าที่ก็จะให้คู่มือมา ซึ่งมีภาษาไทยด้วยค่ะ แต่เคโกะแนะนำว่า เอาภาษาอังกฤษหรือญี่ปุ่นมาไว้ก็ดีนะคะ เผื่อถามทางไรงี้อะค่ะ เค้าจะได้เข้าใจเนอะ

img_9092

หน้าตาพาสที่ได้มาค่ะ พร้อมคู่มือภาษาไทย

นั่งรถไปแป๊บๆ ก็ถึงแล้วค่ะ ออกจากสถานีก็ให้ออกไปทางฝั่งตะวันออก เพื่อไปขึ้นรถบัสนะคะ (ถ้าออกฝั่งตะวันตกจะเป็นบัสที่ไม่รวมอยู่ในพาสค่ะ ต้องเสียเงินเพิ่มอีก)

dsc_1939

ตรงทางออกสถานีก็จะมีป้ายบอกรถบัสด้วยว่าไปไหนขึ้นป้ายเบอร์อะไร แต่ว่าเคโกะมาเช้าไปนะคะ ยังไม่ขึ้นหน้าจอค่ะ 555

dsc_1866

พอออกจากสถานีแล้วก็เดินลงบันไดไปที่ป้ายรถเมล์ค่ะ ซึ่ง Loop bus ที่รวมอยู่ในพาสเนี่ยจะอยู่ที่ป้ายหมายเลข 3 ค่ะ ตรงป้ายรถก็จะมีเส้นทางให้อ่านรอไปพลาง ๆ ด้วย

dsc_1868

หน้าตารถบัสก็จะเป็นแบบนี้ค่ะ

dsc_1869

ภายในรถบัสก็จะเป็นแบบนี้ หลังคาโปร่งเล็กน้อยค่ะ

img_9095

ป้ายแรกที่ลงก็คือวัด Kita-in Temple ค่ะ ซึ่งก็คือป้ายแรกนั่นแหละ ลงรถแล้วเดินมาอีกสามก้าวก็ถึงทางเข้าวัดแล้วค่ะ

dsc_1870

ก็เดินเข้าไปโลดเลยค่ะ เคโกะมาหลังปีใหม่ไม่กี่วัน คนยังมาไหว้พระขอพรกันเยอะมากมายอยู่เลยนะคะ

dsc_1872

ป้ายบอกทางต่าง ๆ ค่ะ อ่านไม่ออก T.T แต่เอาเป็นว่าไหว้พระก็เดินขึ้นไปค่ะ

dsc_1876

ไหว้พระเสร็จสรรพเรียบร้อย (ซึ่งก็ทำตามคนท้องถิ่นอีกนั่นแหละ เพราะจำลำดับขั้นตอนไม่ค่อยได้ค่ะ ที่ต้องยกมือไหว้ โยนเหรียญ แล้วตบมือแปะๆ อะไรทำนองนั้นอ่ะค่ะ) ก็เหลือบไปเห็นคนข้าง ๆ เค้าเสี่ยงเซียมซีกันต่อ ซึ่งเคโกะเองก็ไม่เคยเสี่ยงเซียมซีที่ญี่ปุ่นเลย (เห้ย บ้าเหรอ เคโกะอ่านญี่ปุ่นไม่ออกค่ะ เสี่ยงไปก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดีอ่ะนะคะ T.T) ก็เลยแบบ เอาวะ เอาไงเอากัน ลองเสี่ยงดูซักครั้งค่ะ

การเสี่ยงเซียมซีที่ญี่ปุ่น (อ้างอิงจากการ์ตูนทั้งหมดที่เคยอ่าน ซีรี่ย์ญี่ปุ่นทั้งหมดที่เคยดู และวัดนี้ค่ะ) ก็จะภาวนาขอพร ถามในสิ่งที่เราอยากรู้ แล้วก็เขย่ากระบอกเซียมซีจนมีไม้แท่งเล็ก ๆ หลุดออกมา เราก็ดูเบอร์แล้วไปหยิบใบคำทำนายในลิ้นชักที่เค้าจัดวางไว้ให้ หากได้ใบทำนายที่ดีก็พับเก็บใส่กระเป๋ากลับบ้านไป แต่ถ้าได้ใบที่ไม่ดีก็ให้ผูกไว้กับต้นไม้ หรือราวที่ทางวัดจัดเตรียมไว้ให้แบบนี้ค่ะ

dsc_1878

ซึ่ง .. เคโกะได้ใบไม่ดีมาล่ะ T.T (เดี๋ยวจะแยกรีวิวไว้ในเพจอีกโพสต์นึงละกันนะคะ) แต่ว่าตอนนั้นไม่รู้ไง พับเก็บกลับบ้านอย่างเรียบร้อย … จริง ๆ ก็คือ อ่านไม่ออกแหละค่ะ เลยตั้งใจเก็บกลับมาให้เซนเซอ่านให้

จากนั้นก็เดินเล่นรอบ ๆ วัดรอเวลารถบัสล่ะค่ะ แล้วก็นั่งรถบัสต่อไป ตั้งใจจะลงที่วัด Narita-san (ซึ่งเป็นคนละวัดกับที่เมืองนาริตะ ใกล้ ๆ สนามบินน่ะค่ะ) แต่ว่าลืมกดกริ่ง แล้วรถก็ผ่านไป T.T ก็เลยลงป้าย Ote-machi แทน

ลงรถแล้วก็เดินต่อขึ้นมาตรงทางแยก เลี้ยวซ้าย เดินไปเรื่อย ๆ ก็จะถึง Time Bell Tower หรือ Toki no kane ค่ะ ซึงก็มองเห็นได้แต่ไกลเลยนะคะ

dsc_1890

หอไกล ๆ นั่นแหละค่ะ Time Bell Tower

เดินมาใกล้ ๆ ก็จะพบว่าหอระฆังบอกเวลานี้ยิ่งใหญ่มากจริง ๆ

dsc_1897

หอระฆังบอกเวลานี้ปัจจุบันก็ยังคงใช้อยู่เพื่อบอกเวลา วันละ 4 ครั้ง คือ 6.00, 12.00, 15.00 และ 18.00 น. ค่ะ ซึ่งไม่รู้ว่าพวกเราโชคดีหรือโชคร้ายที่เลยป้ายวัดนาริตะซัง ก็เลยได้ฟังการตีระฆังตรงนี้แทน ไม่งั้นเราก็พลาดยาวไปเลยค่ะ คงไม่รอถึงบ่ายสามแน่ ๆ (ไปถึงตอนเที่ยงพอดีค่ะ)

การตีระฆัง เข้าใจว่ามีคนตีอยู่ด้านบน ซึ่งเคโกะแหงนคอดูอยู่ ก็เห็นว่ามีคนอยู่ด้านบนอ่ะนะคะ แต่ก็ตีได้จังหวะสม่ำเสมอมาก ๆ เลยล่ะค่ะ

dsc_1898

(สามารถฟังการตีระฆังได้ในเพจนะคะ ลิ้งค์นี้ค่ะ — https://www.facebook.com/thisiskeigo/videos/605819039628512/)

จากนั้นก็เดินต่อ จะทะลุออกมาถนนที่เป็นบ้านทรงโบราณ เป็นร้านขายของเต็มสองฝั่งถนนเลยค่ะ ดูแล้วให้บรรยากาศยุคเอโดะจริง ๆ ซะด้วย

dsc_1905

มีบางตึกก็เป็นทรงยุโรป แต่ก็กลมกลืนกัน ดูไม่ขัดตาค่ะ

dsc_1911

ก่อนที่จะไปไหนต่อ ก็เดินย้อนกลับไปทางเดิม เพื่อหาข้าวกินกันก่อน ซึ่งก็เลือกเอาร้านใกล้ ๆ หอระฆังนั่นแหละค่ะ เป็นร้านแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม ต้องถอดรองเท้าด้วย เป็นโต๊ะเตี้ยที่เป็นแบบสอดขาอ่ะค่ะ

คิดอะไรไม่ออก ก็เลือกเมนูแนะนำของทางร้านไป อย่างละเซ็ทค่ะ

dsc_1913dsc_1914

สั่งอาหารแล้ว พนง.ก็จะนำชาร้อนมาเสิร์ฟค่ะ หอมอร่อยทีเดียว

dsc_1916

วิวด้านนอกก็งามดีค่ะ ได้บรรยากาศอีกแล้ว

dsc_1918

รออยู่ครู่หนึ่ง อาหารทั้งสองเซ็ทก็ยกมาเสิร์ฟพร้อมกันค่ะ

dsc_1921dsc_1922

รสชาตินั้นจัดว่าอร่อยทีเดียวค่ะ แล้วมาเป็นหม้ออุ่นร้อนตลอดเวลา ซึ่งหม้อใหญ่มากกกกก เคโกะกินคนเดียวไม่หมดค่ะ ส่วนคุณผู้ชายเองก็กินคนเดียวหมดกำลังพอดี ๆ ค่ะ

ราคาอาหารนั้นยังไม่รวม VAT อีก 8% นะคะ เบ็ดเสร็จก็ 3050Y ค่ะ

จากนั้นยังไม่จบค่ะ มีคนแนะนำว่ามันเทศแผ่น ๆ นั้นจัดว่าเด็ดมาก หลังจากที่วนเวียนมองหาอยู่ครู่ใหญ่ เคโกะก็เจอค่ะ ซึ่งร้านนั้นก็อยู่ใกล้ ๆ กับหอระฆังนั่นแหละ เดินผ่านไปมาตั้งหลายรอบแน่ะ T.T

อิ่มจากข้าวแล้วก็ยังพอจะหาพื้นที่ท้องให้ยัดเข้าไปอีก 1 ถ้วยค่ะ ถ้วยนี้ 350Y ค่ะ

img_9109

ส่วนรสชาตินั้น จัดว่าเฉย ๆ มาก ๆ ถึงมากที่สุดค่ะ ถ้ากินแต่มันเปล่า ๆ จะจืดชืดค่ะ ต้องแตะเกลือที่เค้าโรยไว้นิดนึง จะกลมกล่อมและอร่อยขึ้นค่ะ

จากนั้นก็รอรถบัส รออยู่นานก็ไม่มาค่ะ ก็เลยตัดสินใจเดินไป ซึ่งเดินไปทางถนนร้านเก่า ๆ อะค่ะ ทะลุซอยหอคอยระฆังนั่นแหละ แล้วไปทางขวา เดินไปจนถึงสี่แยกก็เลี้ยวซ้ายอีกที เดินไปอีกนิดหน่อย ก็จะถึง Penny Candy Lane (Kashiya Yokocho) ค่ะ ซึ่งเค้าว่าจะเป็นตรอกขายลูกกวาดเต็มเพียบสองข้างทางเลย

ซอยนี้เลยนะคะ เลี้ยวเข้าไปได้เลยค่ะ

dsc_1930

แต่ทว่า … สิ่งที่พวกเราเจอก็คือความว่างเปล่าค่ะ T.T //ใบไม้ปลิวเบา ๆ ผ่านตัวไปสองใบ

dsc_1931

มันคืออาร๊ายยยยยยยยย T.T รู้สึกผิดหวังมากกกกกกกกค่ะ เคโกะคิดว่าถ้ามาวันหยุดเสาร์อาทิตย์ น่าจะดีกว่านี้นะคะ

ผิดหวังกันไปแล้วก็เลยเดินไปหาป้ายรถเมล์ เพื่อนั่งรถบัสวนกลับสถานี Kawagoe ค่ะ เพื่อนั่งรถกลับเข้าโตเกียวดีกว่า

ก็จบทริป 1-day trip (หรืออาจจะจัดเป็น half-day trip ก็ได้นะคะ) สำหรับเมืองเล็ก ๆ น่ารัก ๆ อย่าง Kawagoe เมืองนี้ค่ะ

ข้อแนะนำสำหรับการเดินเที่ยว Kawagoe ก็คือ นอกจากจดชื่อสถานที่ภาษาอังกฤษหรือไทยก็แล้วแต่แล้ว ควรจดชื่อสถานที่นั้น ๆ ในคำอ่านของภาษาญี่ปุ่นไว้ด้วยค่ะ อย่างที่เคโกะจะใส่วงเล็บไว้ให้อะค่ะ เพราะป้ายบอกทางแต่ละที่นั้นจะไม่ใส่ชื่อสถานที่ภาษาอังกฤษไว้เลยนะคะ แต่จะใส่ภาษาญี่ปุ่นและโรมันจิ (คำอ่านเสียงภาษาอังกฤษ) ไว้แทนค่ะ ซึ่งถ้าเรารู้คำอ่านภาษาญี่ปุ่นไว้บ้างก็จะเที่ยวง่าย ไม่หลงแน่นอนค่ะ ^^

เคโกะว่าถ้ามีเวลาเยอะ เดินชิลล์เรื่อย ๆ ก็น่าสนใจดีนะคะ มีร้าน คาเฟ่เล็ก ๆ น่านั่ง น่าทานหลายร้านเลยค่ะ แล้วก็หากชอบบรรยากาศเก่า ๆ สไตล์เอโดะก็มาเดินเล่นกันได้ค่ะ ใกล้กับโตเกียวนิดเดียวเอง ^^

แล้วเจอกันใหม่ในโพสต์หน้า คอยติดตามกันด้วยนะคะว่าจะพาไปที่ไหนต่อค่ะ