Himeji

สวัสดีค่ะ ทริปญี่ปุ่นเมื่อต้นปีของเคโกะ (กว่าจะเขียนจบก็กลางปีซะงั้น – -” ) ดูจะซ้ำ ๆ รอยนิดหน่อยกับที่เคยไปมาแล้วหนนึงนะคะ และโพสต์นี้ก็เช่นกัน

Spot name : Himeji castle
Websitehttp://www.himejicastle.jp/en/
Location : Himeji station and walk about 15 minutes
Entrance fee : 1,000Y
Opening hours : 9AM-4PM (9AM-5PM in summer)

เราเดินทางมาถึงสถานี Himeji แล้วก็เดินตรงดุ่ม ๆ ไปยังปราสาทตรงหน้าที่สามารถมองเห็นได้ตั้งแต่อยู่ที่หน้าสถานีเลยค่ะ

ระหว่างทางเดินไปปราสาท เคโกะก็สังเกตเห็นป้ายเตือนอันนึงที่วางอยู่บนทางเท้า ดูน่ารักดีอะ

IMG_4377

“เดินใช้สมาร์ทโฟนอันตรายนะ”

เดินมาราวสามท้อใจท่ามกลางอากาศที่ค่อนข้างหนาว พวกเราก็มาถึงจนได้ค่ะ

DSC_6286

เดินผ่านประตูชั้นนอกเข้ามา ก็จะเป็นสวนขนาดใหญ่ มีซุ้มถ่ายรูปด้วย (น่าจะเสียสตางค์ค่ะ)

DSC_6298

ตัวปราสาทเด่นมาก ๆ อย่างที่บอกไป เราสามารถเห็นได้ในระยะไกล ตั้งแต่สถานีก็เห็นได้แล้วค่ะ

DSC_6301

เดินไปจนถึงจุดจำหน่ายตั๋วเข้าชม สามารถใช้บริการตู้ขายตั๋วอัตโนมัติได้เลยนะคะ ใช้งานง่ายดีค่ะ

IMG_4380

ผู้ใหญ่แถวบน ซ้ายไปขวาคือจำนวนตั๋วที่ต้องการซื้อค่ะ มี 1-2-3 และ 4 ใบ แถวล่างเป็นตั๋วสำหรับเด็ก ราคา 300Y (ถูกกว่าผู้ใหญ่มากเลย ^^”)

ก็มีคำบรรยายภาษาอังกฤษกำกับไว้ด้วยนะคะ ไม่ยากๆ

IMG_4381

ได้ตั๋วมาแล้วค่ะ

IMG_4382

เข้าไปด้านในก็จะเจอกับคุณลุงจนท. ที่น่ารักมาก ๆ ขอให้คุณลุงถ่ายรูปให้ คุณลุงก็ถ่ายให้อย่างทะมัดทแมงดีค่ะ รู้มุมด้วยว่าต้องถ่ายประมาณไหนไรงี้ ตรงนี้จะเป็นมุมที่คุณลุงถ่ายรูปให้นะคะ เรายืนด้านหน้า ด้านหลังก็จะเป็นตัวปราสาททั้งหลังค่ะ สวยมาก ๆ เป็นจุดถ่ายรูปจุดนึงเลยค่ะ

DSC_6305

ครั้งก่อนที่เคโกะมา ยังเป็นช่วงบูรณะซ่อมแซมอยู่ ก็เลยดูได้แต่พิพิธภัณฑ์ที่ทางปราสาทได้จัดทำแสดงไว้ แต่ไม่ได้เข้าตัวปราสาทค่ะ

มาครั้งนี้ตัวปราสาทบูรณะเสร็จไปส่วนใหญ่แล้ว เปิดให้เข้าชมได้ (ตั๋วก็เลยเป็นราคาเต็มไงล่ะ T.T) ด้านในก็ยังดูโล่ง ๆ อยู่ ทางเดินแอบดูงง ๆ และมืด ๆ เล็กน้อยค่ะ มีบันไดให้วนขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุดได้ แต่ทางเดินบันไดนั้นแคบและชันมาก ๆ ระวังกันด้วยนะคะ

ด้านบนสุดจะมีศาลเจ้าเล็ก ๆ ประดิษฐานอยู่ เห็นคนไหว้ขอพร โยนเหรียญอยู่บ้างประปรายค่ะ

DSC_6329

แล้วก็ชมวิวมุมสูงได้ด้วย มองย้อนกลับไปเห็นทางเดินที่เราเดินมากันด้วยค่ะ

IMG_4394

เดินวนครบรอบก็เดินออก ก็เจอกับฝูงชนกลุ่มใหญ่ยืนถ่ายรูปเล่นบริเวณนี้อยู่ ก็ดูเป็นมุมที่สวยอีกมุมนึงค่ะ

DSC_6340

ปิดท้ายที่ตู้ขายเหรียญที่ระลึก ซึ่งอยู่ในร้านขายของที่ระลึกตรงทางออกจากปราสาทค่ะ

IMG_4403

ในเมืองฮิเมจินี้นอกจากปราสาทฮิเมจิแล้ว ก็ยังมีที่อื่น ๆ ที่น่าสนใจด้วยนะคะ แต่ว่าด้วยเวลาจำกัด (อีกแล้ว) ก็เลยไปได้แค่นี้เอง หลังจากนี้จะไปไหนกันต่อต้องติดตามในโพสต์ถัดไปนะคะ

ฝากเพจด้วยน้าาาา https://www.facebook.com/thisiskeigo/

Kobe

สวัสดีค่ะ ยังคงวนเวียนอยู่ในทริปญี่ปุ่นฤดูหนาวที่พยายามรีบเขียนให้จบ .. ก่อนที่หน้าหนาวจะวนมาใหม่ค่ะ 555

Spot name : Merikan Park / Chinatown / Rokko-san (Mount Rokko)
Location : Kobe, Kansai prefecture, Japan
Visited date : 25 Jan 2018
Used pass : Rokkosan tourist pass

สำหรับพวกเราที่ถือพาส KWAP (Kansai Wide Area Pass) ในมือไว้อยู่แล้ว ก็จะถือเป็นเรื่องที่สุดคุ้มในการมาโกเบ ก็คือความสามารถใช้รถไฟชินคังเซ็นมาที่สถานี Shin-Kobe ได้ฟรีเลยค่ะ ใช้เวลาเพียงแค่ 13 นาทีเท่านั้นก็วาร์ปจากโอซากะมาโกเบได้เลย ^^

แล้วเราก็นั่งรถบัส Kobe City Loop Bus ไปที่ Motomachi ค่ะ ซึ่งเราไม่ได้ใช้ 1-day bus pass นะคะ เพราะไปแค่ไม่กี่เที่ยว ยังไม่คุ้มค่าตั๋วค่ะ (ถ้าให้คุ้มต้องมากกว่า 3 เที่ยว ซึ่งพวกเราใช้ 3 เที่ยวพอดี เลยไม่ได้ซื้อค่ะ — อ้อ แล้วเรายังมีส่วนลดนิดหน่อยจากเคาน์เตอร์ข้อมูลการท่องเที่ยวด้วย เลยทำให้ถูกกว่าเดย์พาสค่ะ)

ภายในรถบัส จะมีสาวสวยคอยบรรยายสถานที่สำคัญต่าง ๆ ให้ฟัง และขานป้ายที่จะจอดให้ด้วย (แน่นอนว่าเป็นภาษาญี่ปุ่นล้วน ๆ ค่ะ)

IMG_4214

ลงรถมาก็จะเห็นปลาตัวใหญ่แต่ไกลเลยค่ะ

DSC_6165

บริเวณนี้เป็นสวนสาธารณะที่ระลึกแผ่นดินไหว (Port of Kobe Earthquake Memorial Park) ค่ะ ก็จะมีจุดถ่ายรูปอยู่พอสมควร และติดกับท่าเรือด้วย ก็กินลมชมวิวกันไปได้ค่ะ

DSC_6171

มองไปเบื้องหน้าไกล ๆ จะเห็น Kobe Tower ที่เด่นเป็นสง่าค่ะ

DSC_6173

วิวทะเลบ้างค่ะ

DSC_6175

ชื่นชมบริเวณนี้แล้ว เราก็เดินดิ่งไปยัง Kobe Tower ค่ะ

DSC_6180

เราวนเวียนอยู่ในโกเบทาวเวอร์อยู่พักนึง หลังจากซาวด์เสียงกันแล้วว่าไม่มีใครอยากขึ้นไปชมวิวมุมสูงด้านบน เราก็เดินออกค่ะ ^^”

นั่งรถ City Loop Bus ต่อไปที่ Chinatown ซึ่งก็ตั้งใจว่ามาเดินเล่น ดูบรรยากาศไชน่าทาวน์ในโกเบ แล้วก็หาอะไรกินเล่น กินจริงจังกันค่ะ

DSC_6186

บรรยากาศก็ดูค่อนข้างเปลี่ยนไปจากวันที่เคโกะเคยมา ซึ่งครั้งนี้ที่ไปก็จะมีพนง.เชียร์ลูกค้าเข้าร้านตนเองเป็นภาษาจีนเยอะขึ้นมาก ๆ ค่ะ ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในแหล่งที่ใช้ภาษาจีนเลยอะ หลังจากที่เราคุยกันแล้วก็ตกลงว่า ไม่กินเล่นละ เอาจริงจังเลย (555) ก็เลยเลี้ยวเข้าร้านอาหารจีนร้านนึงค่ะ เค้ามีแบบบุฟเฟ่ต์ด้วย ซึ่งตอนแรกพวกเราไม่รู้ เลยทำท่าจะออก พนง.ก็เลยว่าสั่งเป็น a-la-cart ได้ เราก็เลยโอเคค่ะ

เพราะเป็นอาหารจีน แถมพนง.มองหน้าตาพวกเราที่ดูหมวย ๆ กันแล้วก็ส่งภาษาจีนมาแต่ต้นด้วย เพื่อน ๆ ก็เลยพร้อมใจให้เคโกะเป็นคนสั่งอาหาร สิ่งที่ได้มาก็คือ

ผัดผักรวม

IMG_4217

เมนูสุดโปรด แพ้ทางทุกครั้งที่เข้าร้านอาหารจีน .. ผัดเต้าหู้เสฉวนค่ะ และเป็นเมนูเดียวที่สามารถสั่งเป็นชื่อภาษาจีนได้ 555

IMG_4218

ข้าวผัด

IMG_4219

และผัดกระดูกหมูซอสเอ็กซ์โอมั้งนะ

IMG_4220

ก็สำหรับคน 4 คน ก็ถือว่าพอเพียงและอิ่มดีค่ะ รสชาติอาหารโดยรวมก็ถือว่าโอเคนะ ให้ความรู้สึกอาหารจีนจริง ๆ ได้อยู่ค่ะ (บวกกับที่พนง.คุยเป็นภาษาจีนกับเราตลอดแล้ว เหมือนอยู่ประเทศที่ใช้ภาษาจีนจริง ๆ เลยอะ ^^”)

ทานอาหารอิ่มกันแล้ว เราก็ไปต่อที่ Rokko เลยค่ะ ซึ่งพาสตัวที่เราซื้อมา (Rokkosan tourist pass) นั้นได้รวมการเดินทางไว้หมดแล้ว ตั้งแต่รถบัสสาย 16, Cable car และ Sanjo bus ที่เป็นรถบัสวิ่งวนอยู่บนเขา Rokko ค่ะ

ซึ่งในการไปนั่งรถบัสสาย 16 อันเป็นจุดเริ่มต้นของพาสตัวนี้ คือ เราก็ต้องไปให้ถึงสถานีรถไฟ 3 สถานีค่ะ
– Rokko station (Hankyo Line)
– Rokkomichi (JR Line)
– Mikage (Hanshin Line)

สำหรับพวกเราที่ถือ JR อยู่แล้ว เลยใช้ JR ไปที่ Rokkomichi แล้วต่อรถบัสสาย 16 ไปที่สถานีเคเบิ้ลคาร์ค่ะ

DSC_6189

พอขึ้นมาถึงด้านบนเขารกโกะแล้ว เราก็เดินเล่นไปดูวิวกันก่อนค่ะ ซึ่งจะอยู่บริเวณ Tenran Cafe นะคะ

DSC_6196

จากนั้นก็ไปที่ป้ายรถบัส ซึ่งจริง ๆ แล้วก็จะอยู่ด้านหน้าของสถานีเคเบิ้ลคาร์นั่นแหละค่ะ

รถบัสที่รวมอยู่ในพาส ที่เราใช้ได้ก็คือสาย 1 นี้เท่านั้นค่ะ (มีสองสายคือ 1 กับ 2 ค่ะ)

IMG_4237

รถบัสก็หน้าตาประมาณนี้ วิ่งเป็นวงกลมวน ๆ ไปค่ะ

IMG_4238

สต็อปแรกที่เราไปก็คือ Rokkosan Snow Park ค่ะ

IMG_4230

เป็นที่แรกในทริปนี้เลยที่เราเจอหิมะค่ะ ก็ไหน ๆ มาหน้าหนาวทั้งทีเนอะ เคโกะก็เลยพาเพื่อนมาให้สัมผัสกับหิมะกันแบบเต็ม ๆ ค่ะ ซึ่งลานหิมะที่นี่เป็นลานเดียวในทริปที่เราจะผ่านและแวะมาได้

แต่พอซาวด์เสียงเพื่อน ๆ ดู ทุกคนมีหน้าตาแบบ เออ ชั้นพอใจกับหิมะด้านหน้าแล้วอ่ะ ไม่เข้าแล้วกัน ประมาณนี้เลยค่ะ ก็เลยได้แค่มาสต็อปอยู่ด้านหน้าอะนะ ^^”

จากนั้นเราก็วน ๆ ต่อไปยัง Rokko Garden Terrace / Rokko-Shidare Observatory ค่ะ บริเวณนี้หิมะหนักแน่นมาก ๆ ก็ได้ถ่ายรูปกับหิมะกันสนุกไปอีก

DSC_6211

เดิน ๆ มาแถว ๆ Observatory นิดหน่อย แต่ไม่เห็นมีทางขึ้นไปถ่ายรูปแบบในโบรชัวร์แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวได้ ก็เลยได้แค่นี้ค่ะ

DSC_6221

เราเริงร่ากับหิมะบริเวณนั้นอยู่พักใหญ่มาก ๆ แล้วระหว่างรอรถบัสกลับมาที่สถานีเคเบิ้ลคาร์ หิมะก็ตกปรอย ๆ พอดี ถ่ายรูปกันต่ออย่างสนุกสนานได้อีก

เคโกะเองมาเจอหิมะหลายรอบแล้ว ก็ยังสนุกแบบหนาว ๆ อยู่ค่ะ 555

วนกลับมาที่ Tenran Cafe อีกรอบนึง คราวนี้เราเข้าไปนั่งจิบชา ชิมขนมรอพระอาทิตย์ตกดินค่ะ

DSC_6223

เพื่อน ๆ สั่งแพนเค้กมาทานเล่น ตัวเคโกะเองก็เป็นเค้กเซ็ทมีชาร้อนด้วย

IMG_4265

แพนเค้กก็นุ่มอร่อยดีอยู่ค่ะ ส่วนเค้ก เคโกะว่าเฉย ๆ นะ

IMG_4266

พระอาทิตย์ตกดินแล้วก็ถ่ายรูปอีกนิดหน่อย ก่อนจะลงเขากลับที่พักกันค่ะ

DSC_6226

จริง ๆ ส่วนตัวแล้วก็ยังมองว่าสามารถเที่ยวในเมืองโกเบ 1 วันและที่บนเขารกโกะ 1 วันได้นะคะ เพียงแต่ว่าเที่ยวนี้มีเวลาให้ 1 วันกับโกเบค่ะ ในฐานะที่เคโกะเป็นคนวางแพลนทริปทั้งหมดก็เลยเลือกเอาที่น่าสนใจ รวบรัดให้ลงได้ใน 1 วันอะนะคะ ก็เลยดูจะกระชับและรวบรัดไปหน่อยนึง ^^”

เกาะหน้าเพจกันได้ค่ะ https://www.facebook.com/thisiskeigo/

แล้วเจอกันใหม่ในโพสต์ถัดไปค่ะ อาจจะมีเซอร์ไพรส์ มีรีวิวอะไรบางอย่างจะมาลัดคิว 5555 

 

Uji

สวัสดีค่ะ โพสต์นี้ขอเล่าถึงเมืองเล็ก ๆ เมืองนึงที่เคโกะรู้สึกว่าน่าสนใจดี กับเมืองที่ชื่อว่า “อุจิ” หรือ Uji (宇治市) ค่ะ

เมืองนี้ จริง ๆ เคโกะได้ยินชื่อมาจากพี่ชายที่เคยอยู่ญี่ปุ่นมาแล้วหนนึง เค้าแนะนำเมืองนี้มาให้ ซึ่งอยู่ในภูมิภาคคันไซ ไม่ไกลกันนักกับโอซากะหรือเกียวโต (หากยึด 2 เมืองนี้เป็นจุดศูนย์กลางอะนะคะ) เคโกะเองที่เป็นคนวางแพลนทริปญี่ปุ่นนี้ทั้งหมด ก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ ยัดเมืองนี้ลงไปในแพลนเฉยเลย (555)

เอาล่ะ เมืองนี้มีอะไรดี ?

สำหรับคอชา ชอบดื่มชา ชอบชาเขียว จะต้องรู้จักเมืองนี้ค่ะ เพราะเมืองนี้มีชาเขียวที่โด่งดังมาก ๆ เรียกได้ว่า ชาเขียวชั้นดีต้องมาจากเมืองนี้เท่านั้นเลยล่ะค่ะ บางแพกเกจจิ้งที่มีชาเขียวเป็นส่วนประกอบก็มักจะอ้างถึงบ่อย ๆ ว่าเป็นชาเขียวอุจิ หรือ อุจิมัทฉะ เลยเชียวนะ อะไรทำนองนี้ค่ะ

เคโกะเดินทางมาเมืองนี้จากนารานะคะ ซึ่งถ้าดูแผนที่แล้ว ก็จะเป็นทางเดียวกันค่ะ แล้ววนกลับเข้าโอซากะได้เลยด้วย คือดีย์~ (อย่างที่บอกไปแล้วว่าเคโกะใช้วิธีไปเช้าเย็นกลับ พักที่เดิมตลอดทั้งทริปนะคะ)

เรานั่งรถไฟมาถึงอุจิแล้วก็แวะศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวซักเล็กน้อย ถามนู่นนี่นั่น แล้วก็ได้แผนที่และเส้นทางการเดินเยี่ยมชมมาค่ะ เรามีเวลากันน้อย พนง.เลยแนะนำได้แค่ไปชมพิธีชงชา และวัดเบียวโดอิน (Byodoin Temple) ค่ะ

ออกจาก JR Uji station เราเลี้ยวซ้าย แล้วเดินตรงไปเรื่อย ๆ ระยะทางประมาณ 2 ท้อใจ (กลางอากาศที่หนาวอยู่ ถ้าอากาศสบาย ๆ น่าจะแค่ท้อใจเดียวค่ะ 555) ก็จะเจอกับโทริอิหน้าตาประมาณนี้ แปลว่าเรามาจวนจะถึงแล้วค่ะ

DSC_6114

ก็เลี้ยวขวาเดินไปตามถนนแคบ ๆ เลยค่ะ ตลอดทั้งเส้นนี้ก็จะมีร้านของกินเล่น และร้านขายชาเขียวทั้งสองฝั่งถนนเลยค่ะ คืออะไร ๆ ก็เป็นชาเขียวไปหมดอะ คอชาอย่างเคโกะเห็นแล้วก็แทบอยากพุ่งใส่ซะทุกร้านเลยค่ะ 555

พอเดินผ่านวัดเบียวโดอินมานิดหน่อย จะมองเห็นแม่น้ำอุจิ ซึ่งจริง ๆ แล้วในเว็บ japan-guide เองบอกว่ามีการล่องเรือชมวิวทิวทัศน์ด้วย แต่น่าจะเพราะอากาศหนาว น้ำในแม่น้ำเลยแห้ง ๆ และมีการก่อสร้างอย่างที่เห็นด้วยค่ะ (ข้อมูลวันที่ไป 24 Jan 2018 ค่ะ)

DSC_6118

มีป้ายบอกทางอยู่ ไม่หลงแน่นอนค่ะ

DSC_6119

และเนื่องจากเรามาถึงก็บ่ายมากแล้ว ก็เลยพุ่งไปที่ Taihoan Teahouse ก่อนเลยค่ะ ซึ่งจะตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ที่อยู่ใกล้ ๆ กับวัดเบียวโดอินค่ะ ค่าบริการในการเข้าร่วมชมพิธีชงชานั้น สนนราคาอยู่ที่ 500Y ค่ะ

IMG_4187

ชำระเงินเรียบร้อยแล้ว พนง.ก็จะเชิญเราไปที่เรือนใกล้ ๆ กัน เพื่อวางสัมภาระและถอดเสื้อชั้นนอกออก (เสื้อกันหนาวอะไรงี้ค่ะ) และเข้าไปนั่งในห้องพิธีชงชาค่ะ

DSC_6116

ตลอดพิธีชงชา จะมีพนง.อธิบายเป็นภาษาอังกฤษตามลำดับขั้นตอนจนกระทั่งจบพิธีการค่ะ

บรรยากาศในห้องชงชานะคะ เคโกะขอเค้าถ่ายตอนที่เสร็จพิธีแล้วค่ะ แต่ในระหว่างพิธีนั้น ห้ามถ่ายรูปค่ะ

IMG_4188

สำหรับการชงชานั้น เคโกะถามเพื่อน ๆ แล้ว เพื่อน ๆ ก็ไม่ใช่คอชาเท่าไหร่อะนะคะ ก็เลยจะว่าเฉย ๆ แต่สำหรับตัวเคโกะเองที่ชอบดื่มชาอยู่แล้ว ก็เลยรู้สึกว่ามันอร่อยมากกกกกกค่ะ

เพราะงั้นก็แล้วแต่รสนิยมแต่ละคนนะคะ ถ้าชอบดื่มชา โดยเฉพาะชาเขียวมัทฉะด้วยแล้ว เคโกะแนะนำอย่างแรงค่ะ ^^

จากนั้นเราก็เดินกลับไปเข้าวัดเบียวโดอินต่อ มีค่าเข้าด้วยราคา 600Y ค่ะ

วัดนี้มีอะไรดี?

วัดนี้คือวัดที่อยู่ด้านหลังของเหรียญ 10 เยนค่ะ ^^

จ่ายค่าเข้าวัดเสร็จ ก็จะเจอกับมุมนี้ ซึ่งเป็นด้านหน้าวัดนะคะ ยังไม่ใช่ภาพวัดที่อยู่ด้านหลังเหรียญ 10 เยนค่ะ

DSC_6121

เดินวนมาด้านหลังค่ะ

DSC_6127

เอียง ๆ หน่อย ใช่มั้ยน้าาาา

DSC_6144

เป๊ะเลยค่ะ ^^

IMG_4198

ถ่ายรูปกันตรงนี้จนหนำใจแล้วก็เดินต่อไปอีกนิดหน่อยค่ะ จะมีพิพิธภัณฑ์เบียวโดอิน (Byodoin Museum) อยู่ สามารถเข้าไปเดินชมได้ ไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มค่ะ

DSC_6148

ด้านใน ถ้าจำไม่ผิด ก็จะจัดแสดงพวกข้าวของเครื่องใช้ยุคสมัยก่อนรวมไปถึงศิลปะทางพุทธศาสนาหรือชินโตด้วยอะค่ะ

พอวน ๆ ด้านในเดินออกมาก็จะคล้าย ๆ กับว่าเดินวนรอบวัดค่ะ (ด้านในวัดต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกหน่อย ถึงเข้าด้านในได้ — พวกเราเลือกที่ไม่เข้านะคะ)

แค่รอบ ๆ ก็มีมุมสวย ๆ ให้ถ่ายรูปเยอะเลยค่ะ

DSC_6153

สะท้อนกับพื้นน้ำกันไป เจอช่างภาพมาก้ม ๆ เงย ๆ เก็บช็อตภาพสะท้อนผืนน้ำกันอยู่เหมือนกันนะคะ

DSC_6159

ขากลับ เราก็แวะชิมขนมกินเล่นซะหน่อย เลือกมาได้เป็นทาโกะยากิชาเขียวและเกี๊ยวซ่าชาเขียวค่ะ

IMG_4200IMG_4202

จากนั้นก็เดินช้อปปิ้งของที่ระลึกเกี่ยวกับชาเขียว ๆ เสียหน่อย

เคโกะไปได้คิทแคทชาโฮจิฉะเมืองอุจินี้มาจากร้านแถว ๆ นี้ล่ะค่ะ ซึ่งถ้าตัดความหวานเวอร์ของคิทแคทออกไปแล้ว อร่อยมากกกกกกค่ะ แนะนำเช่นกัน ซึ่งตัวนี้เคโกะยังไม่เห็นที่อื่นเลยนะคะ นอกจากที่นี่อะค่ะ ^^”

เสร็จสรรพ เราก็โต้ลมหนาวกลับไปที่สถานี เพื่อนั่งรถไฟกลับที่พักกันค่ะ

DSC_6164

โดยรวมแล้วกับเมืองนี้ ถ้าชอบชาเขียว ก็มาเถอะค่ะ ^^”

ติดตามกันในโพสต์ถัดไปนะคะ จะรีบไล่เรียงทริปญี่ปุ่นให้เสร็จไว ๆ ค่ะ แต่จะขอหายแว้บไปซักสามสี่วันก่อนนะ แหะๆ

ระหว่างนี้ไปพูดคุยหรือทักทายกันที่เพจได้ค่ะ
https://www.facebook.com/thisiskeigo/