Nara

สวัสดีค่ะ โพสต์นี้มาสั้น ๆ หน่อยนะคะ อย่างที่รู้กันดีในกลุ่มคนที่เคยไปเที่ยวเมืองนารา ประเทศญี่ปุ่นมาแล้วว่าเมืองนี้ก็มีเด่น ๆ แค่วัดและกวางค่ะ เหมาะกับการจัดทริปแบบ 1-day trip หรือบางครั้งก็แค่ครึ่งวันด้วยซ้ำ ซึ่งเคโกะเองก็จัดไปแค่ครึ่งวันเช่นกันค่ะ แต่พอคุยกับจนท.ที่บูธ tourist information แล้ว ก็พอจะจัดแบบสบาย ๆ 1 วันเต็มได้นะคะ

Spot name : Todaiji Temple / วัดโทไดจิ / 東大寺 / Toudai-ji
Location : JR Nara station, take bus or 45-minute walk / Kintetsu Nara station, take bus or 30-minute walk
Websitehttp://www.todaiji.or.jp/index.html
Opening hours : 7:30-17:30 (Apr – Oct), 8:00-17:00 (Nov – Mar)
Entrance fee : 600Y
Visited date : 24 Jan 2018

เช้าวันนั้นเป็นวันที่แย่มาก ๆ วันนึงค่ะ เพราะเคโกะไม่ค่อยสบาย อาการหนักอยู่ แม้จะกินยาแล้ว แต่ยายังไม่ออกฤทธิ์ ทรมานสุด ๆ เลยค่ะ เลยทำให้ไม่ค่อยมีกะจิตกะใจถ่ายรูปเท่าไหร่

เรานั่งรถไฟไปลงที่ JR Nara station ภายในสถานีจะมีบูธ tourist information อยู่ค่ะ มีภาษาอังกฤษและภาษาอื่น ๆ แล้วแต่ช่วงเวลาที่พนง.จะอยู่ทำการว่าภาษาอะไรบ้าง (เช่น จีน, เกาหลี อะไรงี้อะค่ะ) ช่วงที่ไป เจออังกฤษกับจีนพอดี ภาวะที่ร่างพัง ๆ แบบนั้น เคโกะก็เลยถลาเข้าไปช่องภาษาจีนค่ะ คุยโช้งเช้ง ๆ ไป ปล่อยให้เพื่อน ๆ ยืนงง -..-”

พนง.แนะนำสถานที่ที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมาให้สองสามจุด ซึ่งเหมาะกับ 1-day trip มาก ๆ ค่ะ แต่พวกเราแพลนมาแล้วว่าจะอยู่แค่ครึ่งวัน ก็เลยต้องผ่านไปก่อน และถ้าเราไปตามที่พนง.แนะนำมานั้น การใช้ 1-day bus pass เป็นการตอบโจทย์ที่ดีมากค่ะ เคโกะจำราคาไม่ได้แน่นอนนะคะว่ากี่เยน แต่ถ้าใช้มากกว่า 3 เที่ยว คุ้มเลยค่ะ ซึ่งพวกเรา อย่างที่บอกเนอะ เราอยู่กันครึ่งวัน และไปแค่วัดโทไดจิที่เดียวค่ะ ไปกลับก็ไม่คุ้มที่จะซื้อพาสรถบัส ก็เลยไม่ได้ใช้ค่ะ จ่ายเป็นเที่ยว ๆ เอาแทน

รถบัสจากสถานี JR Nara มีหลายสายอยู่ที่ไปวัดโทไดจิได้ค่ะ พอลงจากรถบัสปุ๊บ เราก็ได้เวลาลัลล้ากับน้องกวางที่มาเดินเล่นรอต้อนรับพวกเราอยู่อย่างมากมายจริงๆ

DSC_6090

น้องกวางน่าร้ากกกกกก

ที่นี่เค้าจะไม่กักขังกวางนะคะ แต่จะปล่อยให้เดินเล่นอย่างอิสระ เพราะเค้าถือกันว่ากวางคือสัตว์เลี้ยงของเทพเจ้าค่ะ เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ เลยจะไม่ทำร้ายมันค่ะ

DSC_6095

ตลอดสองข้างทางที่จะเดินไปวัด กวางก็จะเยอะมาก ๆ และมีคนขายอาหารกวางอยู่เป็นระยะ ๆ ด้วยค่ะ อาหารเลี้ยงกวางที่เคโกะจำได้ ก็เป็นเซมเบ้ล่ะนะคะ (กวางกินเซมเบ้ 555) ซึ่งเวลาเราซื้ออาหารกวางมาแล้ว กวาง ๆ ก็จะรู้นะคะว่านั่นคืออาหารของชั้น~ บางทีก็จะเข้ามาแย่งค่ะ เราอาจจะต้องระวังนิดนึง และเวลาให้ก็คือให้เค้าไปเลยอะค่ะ อย่าไปแกล้ง ๆ หรืออย่าไปค้างเพื่อถ่ายรูปอะไรงี้นะคะ เค้าก็จะออกแนวรำคาญหน่อย ๆ บางครั้งก็วิ่งไล่ค่ะ เพราะไปแกล้งมันเกินเหตุ (อันนี้เห็นนทท.จีนกลุ่มนึงโดนกวางวิ่งไล่ด้วยอะ >< )

แล้วก็เดินฝ่าฝูงกวางมาจนถึงบริเวณทางเข้าวัดจนได้ค่ะ

DSC_6102

ประตูสองชั้นตามแบบวัดโบราณของญี่ปุ่นนะคะ

DSC_6105

บริเวณด้านนอกนี้ทั้งหมดเรายังสามารถเดินเล่นได้อยู่โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ค่ะ แต่พอผ่านจากประตูชั้นที่ 2 ไปแล้ว จะมีทางเข้าตัวอาคารวัดจริง ๆ ตรงนี้ถึงจะต้องเสียค่าผ่านประตู 600 เยนค่ะ

พวกเราเลือกที่จะไม่เข้า เพราะอิ่มกับวัดที่เกียวโตมาแล้ว ฮาาาา~

ก็เลยได้แต่ถ่ายรูปอยู่บริเวณด้านนอก ก่อนจุดตรวจตั๋วค่ะ

DSC_6110

ประตูวัดเองก็มีศิลปะแบบญี่ปุ่นดูอลังการอยู่นะคะ

DSC_6113

กับนาราก็จะสั้น ๆ ประมาณนี้

แล้วก็มีรายละเอียดการเที่ยวเมืองนี้เพิ่มเติมแปะเป็นลิ้งค์ไว้ให้ตามไปศึกษากันต่อเองนะคะ
https://www.jnto.go.jp/eng/pdf/regional/kinki/nara_shi.pdf
https://www.jnto.go.jp/eng/pdf/pg/pg-507.pdf

แล้วมาเจอกันโพสต์หน้ากับเมืองที่เคโกะภูมิใจนำเสนอค่ะ

ฝากเพจไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ ^^
https://www.facebook.com/thisiskeigo/

Koedo – Kawagoe

สวัสดีค่ะ โพสต์นี้จะพาไปเที่ยวแบบใกล้ ๆ โตเกียวกันค่ะ เค้าบอกว่าใช้เวลาแค่ 30 นาทีจากโตเกียวเองนะ และเป็นเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็น “Little Edo” ด้วย ซึ่งก็คือ เมือง Kawagoe (คาวะโกเอะ) นั่นเองค่ะ ตามมาดูกันเลยนะคะว่าเมืองเล็ก ๆ เมืองนี้จะน่ารัก น่าเดินเที่ยวแค่ไหน

Place : Kawagoe / คาวะโกเอะ / Little Edo / Koedo / 小江戸 / 川越
Location : Kawagoe, Saitama – เขต Kanto
Direction : take Tobu Tojo line from Ikebukuro
Visited date : 10 Jan 2017
Pass : Kawagoe Discount Pass Premium (1000Y from Ikebukuro station)
Website : http://www.koedo.or.jp/foreign/english/

คำว่า Koedo (小江戸 – โคะเอโดะ) นี้ ตัว “โคะ” แปลว่าเล็กค่ะ ก็หมายถึงเมือง Little Edo นั่นเอง ก็จะเป็นเมืองที่ยังคงบรรยากาศยุคเอโดะไว้น่ะค่ะ ฟังดูน่าสนใจเนอะ

เริ่มต้นการเดินทางที่ไหนก็ตามในโตเกียว ก็ขอให้ไปให้ถึงสถานี Ikebukuro ค่ะ แล้วมองหาทางไปสาย Tobu Tojo line ให้เจอ แล้วก็ซื้อพาสที่สถานีได้เลย ซึ่งพาสจะมีสองแบบ แต่เคโกะเลือกแบบ premium เพราะรวมค่ารถบัสใน Kawagoe ไว้แล้วด้วยค่ะ ไม่ต้องไปเสียเพิ่มอีก แล้วเจ้าหน้าที่ก็จะให้คู่มือมา ซึ่งมีภาษาไทยด้วยค่ะ แต่เคโกะแนะนำว่า เอาภาษาอังกฤษหรือญี่ปุ่นมาไว้ก็ดีนะคะ เผื่อถามทางไรงี้อะค่ะ เค้าจะได้เข้าใจเนอะ

img_9092

หน้าตาพาสที่ได้มาค่ะ พร้อมคู่มือภาษาไทย

นั่งรถไปแป๊บๆ ก็ถึงแล้วค่ะ ออกจากสถานีก็ให้ออกไปทางฝั่งตะวันออก เพื่อไปขึ้นรถบัสนะคะ (ถ้าออกฝั่งตะวันตกจะเป็นบัสที่ไม่รวมอยู่ในพาสค่ะ ต้องเสียเงินเพิ่มอีก)

dsc_1939

ตรงทางออกสถานีก็จะมีป้ายบอกรถบัสด้วยว่าไปไหนขึ้นป้ายเบอร์อะไร แต่ว่าเคโกะมาเช้าไปนะคะ ยังไม่ขึ้นหน้าจอค่ะ 555

dsc_1866

พอออกจากสถานีแล้วก็เดินลงบันไดไปที่ป้ายรถเมล์ค่ะ ซึ่ง Loop bus ที่รวมอยู่ในพาสเนี่ยจะอยู่ที่ป้ายหมายเลข 3 ค่ะ ตรงป้ายรถก็จะมีเส้นทางให้อ่านรอไปพลาง ๆ ด้วย

dsc_1868

หน้าตารถบัสก็จะเป็นแบบนี้ค่ะ

dsc_1869

ภายในรถบัสก็จะเป็นแบบนี้ หลังคาโปร่งเล็กน้อยค่ะ

img_9095

ป้ายแรกที่ลงก็คือวัด Kita-in Temple ค่ะ ซึ่งก็คือป้ายแรกนั่นแหละ ลงรถแล้วเดินมาอีกสามก้าวก็ถึงทางเข้าวัดแล้วค่ะ

dsc_1870

ก็เดินเข้าไปโลดเลยค่ะ เคโกะมาหลังปีใหม่ไม่กี่วัน คนยังมาไหว้พระขอพรกันเยอะมากมายอยู่เลยนะคะ

dsc_1872

ป้ายบอกทางต่าง ๆ ค่ะ อ่านไม่ออก T.T แต่เอาเป็นว่าไหว้พระก็เดินขึ้นไปค่ะ

dsc_1876

ไหว้พระเสร็จสรรพเรียบร้อย (ซึ่งก็ทำตามคนท้องถิ่นอีกนั่นแหละ เพราะจำลำดับขั้นตอนไม่ค่อยได้ค่ะ ที่ต้องยกมือไหว้ โยนเหรียญ แล้วตบมือแปะๆ อะไรทำนองนั้นอ่ะค่ะ) ก็เหลือบไปเห็นคนข้าง ๆ เค้าเสี่ยงเซียมซีกันต่อ ซึ่งเคโกะเองก็ไม่เคยเสี่ยงเซียมซีที่ญี่ปุ่นเลย (เห้ย บ้าเหรอ เคโกะอ่านญี่ปุ่นไม่ออกค่ะ เสี่ยงไปก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดีอ่ะนะคะ T.T) ก็เลยแบบ เอาวะ เอาไงเอากัน ลองเสี่ยงดูซักครั้งค่ะ

การเสี่ยงเซียมซีที่ญี่ปุ่น (อ้างอิงจากการ์ตูนทั้งหมดที่เคยอ่าน ซีรี่ย์ญี่ปุ่นทั้งหมดที่เคยดู และวัดนี้ค่ะ) ก็จะภาวนาขอพร ถามในสิ่งที่เราอยากรู้ แล้วก็เขย่ากระบอกเซียมซีจนมีไม้แท่งเล็ก ๆ หลุดออกมา เราก็ดูเบอร์แล้วไปหยิบใบคำทำนายในลิ้นชักที่เค้าจัดวางไว้ให้ หากได้ใบทำนายที่ดีก็พับเก็บใส่กระเป๋ากลับบ้านไป แต่ถ้าได้ใบที่ไม่ดีก็ให้ผูกไว้กับต้นไม้ หรือราวที่ทางวัดจัดเตรียมไว้ให้แบบนี้ค่ะ

dsc_1878

ซึ่ง .. เคโกะได้ใบไม่ดีมาล่ะ T.T (เดี๋ยวจะแยกรีวิวไว้ในเพจอีกโพสต์นึงละกันนะคะ) แต่ว่าตอนนั้นไม่รู้ไง พับเก็บกลับบ้านอย่างเรียบร้อย … จริง ๆ ก็คือ อ่านไม่ออกแหละค่ะ เลยตั้งใจเก็บกลับมาให้เซนเซอ่านให้

จากนั้นก็เดินเล่นรอบ ๆ วัดรอเวลารถบัสล่ะค่ะ แล้วก็นั่งรถบัสต่อไป ตั้งใจจะลงที่วัด Narita-san (ซึ่งเป็นคนละวัดกับที่เมืองนาริตะ ใกล้ ๆ สนามบินน่ะค่ะ) แต่ว่าลืมกดกริ่ง แล้วรถก็ผ่านไป T.T ก็เลยลงป้าย Ote-machi แทน

ลงรถแล้วก็เดินต่อขึ้นมาตรงทางแยก เลี้ยวซ้าย เดินไปเรื่อย ๆ ก็จะถึง Time Bell Tower หรือ Toki no kane ค่ะ ซึงก็มองเห็นได้แต่ไกลเลยนะคะ

dsc_1890

หอไกล ๆ นั่นแหละค่ะ Time Bell Tower

เดินมาใกล้ ๆ ก็จะพบว่าหอระฆังบอกเวลานี้ยิ่งใหญ่มากจริง ๆ

dsc_1897

หอระฆังบอกเวลานี้ปัจจุบันก็ยังคงใช้อยู่เพื่อบอกเวลา วันละ 4 ครั้ง คือ 6.00, 12.00, 15.00 และ 18.00 น. ค่ะ ซึ่งไม่รู้ว่าพวกเราโชคดีหรือโชคร้ายที่เลยป้ายวัดนาริตะซัง ก็เลยได้ฟังการตีระฆังตรงนี้แทน ไม่งั้นเราก็พลาดยาวไปเลยค่ะ คงไม่รอถึงบ่ายสามแน่ ๆ (ไปถึงตอนเที่ยงพอดีค่ะ)

การตีระฆัง เข้าใจว่ามีคนตีอยู่ด้านบน ซึ่งเคโกะแหงนคอดูอยู่ ก็เห็นว่ามีคนอยู่ด้านบนอ่ะนะคะ แต่ก็ตีได้จังหวะสม่ำเสมอมาก ๆ เลยล่ะค่ะ

dsc_1898

(สามารถฟังการตีระฆังได้ในเพจนะคะ ลิ้งค์นี้ค่ะ — https://www.facebook.com/thisiskeigo/videos/605819039628512/)

จากนั้นก็เดินต่อ จะทะลุออกมาถนนที่เป็นบ้านทรงโบราณ เป็นร้านขายของเต็มสองฝั่งถนนเลยค่ะ ดูแล้วให้บรรยากาศยุคเอโดะจริง ๆ ซะด้วย

dsc_1905

มีบางตึกก็เป็นทรงยุโรป แต่ก็กลมกลืนกัน ดูไม่ขัดตาค่ะ

dsc_1911

ก่อนที่จะไปไหนต่อ ก็เดินย้อนกลับไปทางเดิม เพื่อหาข้าวกินกันก่อน ซึ่งก็เลือกเอาร้านใกล้ ๆ หอระฆังนั่นแหละค่ะ เป็นร้านแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม ต้องถอดรองเท้าด้วย เป็นโต๊ะเตี้ยที่เป็นแบบสอดขาอ่ะค่ะ

คิดอะไรไม่ออก ก็เลือกเมนูแนะนำของทางร้านไป อย่างละเซ็ทค่ะ

dsc_1913dsc_1914

สั่งอาหารแล้ว พนง.ก็จะนำชาร้อนมาเสิร์ฟค่ะ หอมอร่อยทีเดียว

dsc_1916

วิวด้านนอกก็งามดีค่ะ ได้บรรยากาศอีกแล้ว

dsc_1918

รออยู่ครู่หนึ่ง อาหารทั้งสองเซ็ทก็ยกมาเสิร์ฟพร้อมกันค่ะ

dsc_1921dsc_1922

รสชาตินั้นจัดว่าอร่อยทีเดียวค่ะ แล้วมาเป็นหม้ออุ่นร้อนตลอดเวลา ซึ่งหม้อใหญ่มากกกกก เคโกะกินคนเดียวไม่หมดค่ะ ส่วนคุณผู้ชายเองก็กินคนเดียวหมดกำลังพอดี ๆ ค่ะ

ราคาอาหารนั้นยังไม่รวม VAT อีก 8% นะคะ เบ็ดเสร็จก็ 3050Y ค่ะ

จากนั้นยังไม่จบค่ะ มีคนแนะนำว่ามันเทศแผ่น ๆ นั้นจัดว่าเด็ดมาก หลังจากที่วนเวียนมองหาอยู่ครู่ใหญ่ เคโกะก็เจอค่ะ ซึ่งร้านนั้นก็อยู่ใกล้ ๆ กับหอระฆังนั่นแหละ เดินผ่านไปมาตั้งหลายรอบแน่ะ T.T

อิ่มจากข้าวแล้วก็ยังพอจะหาพื้นที่ท้องให้ยัดเข้าไปอีก 1 ถ้วยค่ะ ถ้วยนี้ 350Y ค่ะ

img_9109

ส่วนรสชาตินั้น จัดว่าเฉย ๆ มาก ๆ ถึงมากที่สุดค่ะ ถ้ากินแต่มันเปล่า ๆ จะจืดชืดค่ะ ต้องแตะเกลือที่เค้าโรยไว้นิดนึง จะกลมกล่อมและอร่อยขึ้นค่ะ

จากนั้นก็รอรถบัส รออยู่นานก็ไม่มาค่ะ ก็เลยตัดสินใจเดินไป ซึ่งเดินไปทางถนนร้านเก่า ๆ อะค่ะ ทะลุซอยหอคอยระฆังนั่นแหละ แล้วไปทางขวา เดินไปจนถึงสี่แยกก็เลี้ยวซ้ายอีกที เดินไปอีกนิดหน่อย ก็จะถึง Penny Candy Lane (Kashiya Yokocho) ค่ะ ซึ่งเค้าว่าจะเป็นตรอกขายลูกกวาดเต็มเพียบสองข้างทางเลย

ซอยนี้เลยนะคะ เลี้ยวเข้าไปได้เลยค่ะ

dsc_1930

แต่ทว่า … สิ่งที่พวกเราเจอก็คือความว่างเปล่าค่ะ T.T //ใบไม้ปลิวเบา ๆ ผ่านตัวไปสองใบ

dsc_1931

มันคืออาร๊ายยยยยยยยย T.T รู้สึกผิดหวังมากกกกกกกกค่ะ เคโกะคิดว่าถ้ามาวันหยุดเสาร์อาทิตย์ น่าจะดีกว่านี้นะคะ

ผิดหวังกันไปแล้วก็เลยเดินไปหาป้ายรถเมล์ เพื่อนั่งรถบัสวนกลับสถานี Kawagoe ค่ะ เพื่อนั่งรถกลับเข้าโตเกียวดีกว่า

ก็จบทริป 1-day trip (หรืออาจจะจัดเป็น half-day trip ก็ได้นะคะ) สำหรับเมืองเล็ก ๆ น่ารัก ๆ อย่าง Kawagoe เมืองนี้ค่ะ

ข้อแนะนำสำหรับการเดินเที่ยว Kawagoe ก็คือ นอกจากจดชื่อสถานที่ภาษาอังกฤษหรือไทยก็แล้วแต่แล้ว ควรจดชื่อสถานที่นั้น ๆ ในคำอ่านของภาษาญี่ปุ่นไว้ด้วยค่ะ อย่างที่เคโกะจะใส่วงเล็บไว้ให้อะค่ะ เพราะป้ายบอกทางแต่ละที่นั้นจะไม่ใส่ชื่อสถานที่ภาษาอังกฤษไว้เลยนะคะ แต่จะใส่ภาษาญี่ปุ่นและโรมันจิ (คำอ่านเสียงภาษาอังกฤษ) ไว้แทนค่ะ ซึ่งถ้าเรารู้คำอ่านภาษาญี่ปุ่นไว้บ้างก็จะเที่ยวง่าย ไม่หลงแน่นอนค่ะ ^^

เคโกะว่าถ้ามีเวลาเยอะ เดินชิลล์เรื่อย ๆ ก็น่าสนใจดีนะคะ มีร้าน คาเฟ่เล็ก ๆ น่านั่ง น่าทานหลายร้านเลยค่ะ แล้วก็หากชอบบรรยากาศเก่า ๆ สไตล์เอโดะก็มาเดินเล่นกันได้ค่ะ ใกล้กับโตเกียวนิดเดียวเอง ^^

แล้วเจอกันใหม่ในโพสต์หน้า คอยติดตามกันด้วยนะคะว่าจะพาไปที่ไหนต่อค่ะ