[Japan] Foodstuffs #8

สวัสดีค่ะ โพสต์นี้จะว่าด้วยของกินล้วน ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในโพสต์ที่โพสต์ไปแล้วของทริปนี้นะคะ และ #8 ก็หมายถึงเป็นรอบที่ 8 ของญี่ปุ่นแล้วค่ะ ^^”

เริ่มที่ซูชิกล่องในร้านค้าที่โถงผู้โดยสารขาเข้า Terminal 2 สนามบินนาริตะค่ะ เป็นซุชิเนื้อ ซื้อมาพร้อมกับชานม รวม 1073Y ค่ะ แต่ทานซุชิก่อนขึ้นรถค่ะ

ชานมที่ว่าค่ะ เก็บไว้ดื่มระหว่างรอรถและตอนอยู่บนรถค่ะ

รสชาติทั้งคู่จัดว่าดีตามมาตรฐานของกินเล่นในมินิมาร์ททั่วไปค่ะ

ต่อมาเป็น Houtou (โฮโท หรือโฮโต) ร้านใกล้ๆ ที่พักค่ะ เป็นอาหารขึ้นชื่อของระแวกคาวากุจิโกะค่ะ ตัวเส้นเค้าจะคล้ายอุด้ง แต่เป็นเส้นแบน เหนียวหนึบนุ่ม อร่อยค่ะ

ชามนี้ 1573Y ในร้านมีทั้งแบบ set และ a-la-cart ค่ะ เคโกะสั่งแบบจานเดี่ยวนะ แค่นี้ก็เยอะมากพอแล้วค่ะ

ต่อมาเป็นเทมปุระเซ็ท พี่ในกรุ๊ปเค้าหาลายแทงร้านนี้ไว้ อยู่ใกล้ ๆ สถานี Kawaguchiko ค่ะ น่าจะเป็นร้านฮิตนะ มีการรอคิวนิดหน่อย และมีคนไทยไปทานร้านนี้พอสมควรค่ะ

ทานของทอดแบบนี้ เคโกะแนะนำได้อย่างเดียวว่า เลือกเซ็ทที่ตัวเองทานได้หมดก็พอค่ะ อย่าเลือกเผื่อนะ เพราะทานของทอดไปเรื่อย ๆ แล้วจะเลี่ยนมาก ๆ ค่ะ

ร้านนี้เจ๋งตรงที่มีเทมปุระด้งจานใหญ่มหึหา ชนิดทาน 4 คนได้ แล้วก็เติมข้าว, ซุปได้ตลอดค่ะ (เป็นแบบบริการตัวเอง)

เคโกะเลือกเซ็ทเทมปุระแบบเบา ๆ มา ราคา 2288Y ค่ะ รสชาติดีอย่างที่ควรจะเป็น เค้าทอดมาร้อน ๆ แล้ววางเสิร์ฟให้ทีละชิ้นจนครบค่ะ ทอดมากรอบ ไม่หืนน้ำมันเลยค่ะ แล้วซุปมิโสะนั้นมีสาหร่ายวากาเมะด้วย แม้จะซุปฟรี แต่ก็ไม่ได้หวงเครื่องนะคะ สาหร่ายวากาเมะเยอะเต็มหม้อมาก ๆ เลยค่ะ

ต่อมาเป็นขนมโมจิสอดไส้รสมัสแกต (mascat) ก็คือองุ่นพันธุ์หนึ่งแหละค่ะ พอดีช่วงนั้นกำลังโดนมัสแกตหลอกหลอนอยู่ในทวิตเตอร์ แล้วมาเจอเข้าก็เลยซื้อมาชิมดู อร่อยดีนะคะ หอมหวานนุ่มเลยล่ะ แต่ส่วนตัวว่าหวานไปนิดค่ะ ซื้อได้ที่ร้านขายของฝากทั่วไปในคาวากุจิโกะ ราคา 650Y

เย็นวันเดียวกัน กลับเข้าโตเกียวแล้ว ใต้โรงแรมมีแฟมิลี่มาร์ทอยู่ ก็เลยชวนกันลงไปซื้อขนมมาทานเล่นกัน ทั้งหมดนี้ 626Y ค่ะ

โดยส่วนตัวแล้วชอบถ้วยขวามือมาก นั่นคือโยเกิร์ตรสพีชค่ะ หอมพีชมากกกกกก อร่อยมากเหอะ

ส่วนจาการิโกะก็คือมันฝรั่งทอดแบบจากาบีค่ะ เคโกะชอบแบรนด์นี้มากกว่านะ ชอบเป็นการส่วนตัวค่ะ ไปญี่ปุ่นก็เผลอซื้อทานทุกทีเลย

ส่วนขวดน้ำส้มยูสุโซดา ก็รสแปลก ๆ ดี มีความเป็นยูสุด้วยแล้วก็ซ่า ๆ แบบน้ำโซดาด้วย

อาหารเช้าวันถัดมา เป็นร้าน 24 ชม. ที่อยู่ใกล้ ๆ โรงแรมที่พักค่ะ รสชาติเคโกะว่าเค็มไปหน่อยนะ ราคา 560Y ย่อมเยาดีค่ะ

วันนั้นเป็นวันที่ไปอยู่ในห้าง Divercity ทั้งวัน เลยเลือกร้านซุชิสายพานมาค่ะ สั่งกับแท็บเบลตบนโต๊ะ สั่งได้ทีละ 4 จานเท่านั้น ตอนแรกก็งงว่าทำไมได้แค่ 4 พออาหารมาเสิร์ฟก็เข้าใจค่ะ เพราะรถส่งอาหารเค้าที่วิ่งมาส่งนั้นวางได้แค่ 4 จานนะ

ตัวรถส่งอาหารนี้จะมีปุ่มให้กดด้านบนว่ารถกลับไปได้แล้ว แต่ถ้าเราลืมกดก็ไม่เป็นไรค่ะ เค้ามี delay time ไว้พอสมควร แล้วรถก็จะกลับไปเอง

สั่งกันเต็มโต๊ะมาก ๆ 555

มื้อนั้นตกราว ๆ คนละ 1783Y ค่ะ ถือว่าทานกันไม่ค่อยเยอะด้วยค่ะ เคโกะเคยทานด้วยราคาเฉลี่ยต่อคนแรงกว่านี้นะ 555

เคโกะว่าเมนูอาหารไม่ค่อยหลากหลายอะ มีอร่อยเป็นบางอย่างค่ะ ทานซ้ำ ๆ กันก็เลี่ยนนะ อย่างแซลมอนเงี้ยะ ทานเยอะแล้วจะเลี่ยนค่ะ ก็ไม่ไหวอะ 555

ต่อมามื้อเย็น เดินผ่านร้านหมูเกาหลีแถวอุเอโนะ ก็เลยเข้าไปกัน เป็นร้านเหล้าหมูเกาหลีดี ๆ นี่เองค่ะ ทุกโต๊ะเสียงดังเม้าท์มอยเฮฮาพร้อมแก้วเบียร์กันหมดเลยอะ และกลิ่นติดตัวมาก ๆ ดีที่เค้าจะให้ถอดโค้ท ผ้าพันคอไรงี้ ลงในที่นั่งก่อน (ที่นั่งเป็นแบบเปิดฝาออกแล้วเก็บของได้ค่ะ พอปิดฝาก็เป็นเก้าอี้นั่งได้งี้) ไม่งั้นกลิ่นติดไปหมดทุกสิ่งแน่เลย ><“

เครื่องเคียงมาก่อนนะ

แล้วหมูย่างเกาหลี ก็มีพนักงานทำให้เราเสร็จสรรพค่ะ

พนักงานร้านนี้เหมือนเป็นคนต่างชาติหมดนะ พูดอังกฤษโต้ตอบกันได้ค่ะ

มีสั่งของทานเล่นมาเพิ่มด้วย คล้าย ๆ แป้งทอดอะไรสักสิ่ง ><” คล้าย ๆ ตั้นปิ่ง (蛋饼) ของไต้หวันอะค่ะ แต่ใส่เห็ดแทนนะ เห็นในเมนูแล้วก็คิดถึงเลยขอพี่ ๆ เค้าสั่งมา แหะๆ

กินกันเยอะมากค่ะ อิ่มจุกเลยแหละ หมดกันไปเฉลี่ยคนละ 1947Y

เคโกะไม่ใช่คออาหารเกาหลีอะ แต่โดยรวมเคโกะว่าอร่อยนะ เสียแต่ที่กลิ่นติดตัวหนักมากค่ะ แล้วก็เป็นร้านเหล้าอะ ก็จะเอะอะ ๆ เสียงดัง ๆ หน่อย ใครชอบความเงียบสงบ ไม่ควรเข้าค่ะ 555

มื้อเช้าอีกวัน ก็เสร็จร้าน 24 ชม. ใกล้ ๆ โรงแรมอีกร้านนึงค่ะ สั่งเป็นเซ็ทข้าวบ้าง กับข้าวคือตับผัดกุยช่ายและถั่วงอก ราคา 600Y

รสชาติเฉยๆ ค่ะ ผักเยอะไปหน่อย แหะๆ

ระหว่างรอเข้างานแฟนมีท เลยไปนั่งสตาร์บั๊คส์ฆ่าเวลา สั่งน้ำเป็นอะไรสักอย่างที่ผสมยูสุด้วยค่ะ แก้วนี้คือยังไม่เคยเจอในไทยนะ และอร่อยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก มีเนื้อส้มชิ้นเล็ก ๆ ให้เคี้ยวด้วยอะ แก้วละ 540Y ค่ะ ติดใจขนาดว่าขากลับอยู่ที่สนามบิน ระหว่างรอขึ้นเครื่องก็เดินไปซื้อทานซ้ำอีกแก้วค่ะ

ตัดฉับไปที่มื้อเช้าวันก่อนวันสุดท้าย หลังจากโบกมือบาย ๆ กับพี่ ๆ ร่วมทริปที่เค้ากลับก่อนเคโกะ 1 วันแล้ว ก็มาเดินโต๋เต๋ในสถานีอุเอโนะ (JR) เลยเข้าร้านนี้ สั่งสลัดเซ็ทมาค่ะ

เคโกะว่าอร่อยนะ คือสลัดอย่างที่ควรจะเป็นอะ ส่วนตัวชอบสลัดน้ำใสค่ะ ไม่ชอบแบบมายองเนสเลย เคโกะว่ามันหนักไปนี้ดดดอะ

ต่อมาที่ร้านเครปแถวๆ อุเอโนะค่ะ ดูน่ารักน่าทานดี ก็เลยซื้อมาทานเล่นซะหน่อย ราคา 350Y ค่ะ เคโกะว่าอร่อยกว่าเครปในไทยนะ แหะๆ

ตัวนี้จำได้ว่าสั่งเป็นญี่ปุ่นอย่างชัดเป๊ะค่ะ แต่พอพนักงานถามอะไรซักอย่างกลับมา ก็ใบ้รับประทานกันไป 5555

แล้วก็ไปต่อที่ร้านพายแอปเปิ้ลที่มีคนเคลมว่าอร่อยมากกกกก และขายดีมาก ๆ ร้านนึงค่ะ .. ได้ยินมาว่าเปิดสาขาในไทยแล้วนะ ใครไปชิมมาแล้วกระซิบเล่าสู่กันฟังหน่อยนะคะ ^^”

ร้าน Ringo ที่แปลว่าแอปเปิ้ลนั่นแหละค่ะ ร้านนี้มีหลายสาขา แต่เคโกะไปสาขาชินจูกุมานะคะ

ตอนที่ไป มีขายอยู่แบบเดียว ไส้เดียว (แต่ขายดี เอากะเค้าซี่) แต่ว่าในอีกไม่กี่วันหลังจากที่เคโกะไปนั้น ก็จะมีเพิ่มอีกแบบนึงค่ะ

เคโกะซื้อกลับมาทานที่โฮสเทลนะ ซื้อแค่ชิ้นเดียว ราคา 399Y จัดว่าแพงเลยแหละ แต่มาดูกันค่ะ

แค่ชิ้นเดียว เค้าก็แพ็คใส่ถุงกระดาษให้อย่างงาม ใส่ถุงพลาสติกสีแดงที่เป็นเอกลักษณ์ของร้านมาให้ด้วย (ถุงพลาสติกสีแดงด้านหลัง ที่เคโกะใส่ขนมอย่างอื่นเข้าไปด้วยน่ะค่ะ 555)

แกะออกมา หน้าตาเป็นงี้ค่ะ

นอกจากนี้ ยังมีแผ่นกระดาษใบเล็ก ๆ แนบมาอธิบายเพิ่มเติมอีกว่าจะอุ่นยังไงด้วยค่ะ โอ้ย ได้ใจมากๆเลย

สำหรับรสชาตินะคะ แป้งพายกรอบ ไส้เป็นแอปเปิ้ลครีมคัสตาร์ดที่หอมหวาน นุ่มนวล กลมกล่อม กำลังดีค่ะ ทานพร้อมกับแป้งพายกรอบ ๆ แล้วเข้ากันมาก ๆ และไส้เยอะ แป้งบาง

สรุปแล้วแพงแต่อร่อยสมคำร่ำลือค่ะ

ต่อด้วยแพนเค้กครีม ที่เคโกะไม่รู้ว่าคนไทยเรียกว่าอะไรอีกแล้ว 5555 มันคือเชอหลุนปิ่ง (车轮饼) ของไต้หวันอะค่ะ ซื้อมาจากร้านในสถานีอุเอโนะ (JR) 3 ชิ้น 3 ไส้ 442Y

ร้านเค้าจะแนะนำว่าควรทานให้หมดภายในวันค่ะ ก็อึ้ง ๆ ไปนิด เพราะกะว่าจะไว้ทานตอนเช้า หรือตอนที่ไปสนามบิน ไรงี้

ให้ดูไส้ข้างในค่ะ เค้าใส่ไส้ให้เยอะมากกกก ไส้ทะลักเลยอะ อร่อยนะคะ ไส้เค้าไม่หวานเวอร์วังเลยอะ รสชาติกำลังดีค่ะ แป้งก็นุ่มนะ ถ้าได้ทานตอนที่อุ่น ๆ น่าจะดีค่ะ

คือแค่ถือเดินจากสถานีกลับมาโฮสเทล ขนมก็เย็นแล้วอะ T.T

อ้อ ถ้าซื้อเป็น 6 ชิ้น 12 ชิ้นไรงี้เค้ามีแพกเกจสวย ๆ ให้นะคะ แต่เคโกะซื้อน้อย เลยใส่ถุงกระดาษธรรมดา ๆ อะ

มื้อเช้าวันสุดท้าย ก็ทานร้านที่อยู่ระหว่างทางจากโฮสเทลไป Keisei Ueno ค่ะ

เซ็ทนี้ราคาน่ารักน่าคบ 460Y เนื้ออร่อย แต่แซลมอนเค็มมากค่ะ 555

ปิดท้ายที่โตเกียวบานาน่ายอดฮิตที่มาในรูปแบบคิ้วท์ ๆ อย่างเฮลโลคิตตี้ค่ะ ไส้เป็นแอปเปิ้ลค่ะ

กล่องนึงมี 8 ชิ้น เค้าเคลมว่าขายเฉพาะที่สนามบินเท่านั้นด้วยนะ แล้วก็โดนมนต์คิตตี้จังสะกดจนต้องหยิบมาจ่ายเงิน หิ้วกลับบ้านมาด้วยค่ะ ค่าตัวน้อล 1100Y ค่ะ

หน้าตาทำเป็นหน้าคิตตี้น่ารัก ๆ แต่เคโกะก็ทานลงนะคะ 55555

เนื้อแป้งนุ่มเหมือนโตเกียวบานาน่าเลยค่ะ ไส้เป็นแอปเปิ้ลขนาดกำลังพอดี ๆ ถ้าชอบกินของหวานและคิตตี้ มารับน้อลกลับไปนะคะ น่ารักดี อร่อยด้วย ^^”

โพสต์หน้าจะพากลับไต้หวันอีกแล้วค่ะ รอติดตามน้าาาา
https://web.facebook.com/thisiskeigo

[Tokyo] Doraemon Future Department Store

สวัสดีค่ะ มีคนเคยบอกเอาไว้ว่าถ้าให้เดินโอไดบะวันเดียวก็ไม่หมด หรือปล่อยไว้ในห้างก็อยู่ได้เป็นวัน ๆ เคโกะฟังแล้วก็ไม่เคยเชื่อค่ะ จนกระทั่งมาเจอกับตัวเองนี่แหละ 555

Spot name : Doraemon Future Department Store
Location : Odaiba, Tokyo
Google maps : https://goo.gl/maps/xMrRbxKt815qWdpG6
Entrance fee : free
Opening hours : 10AM-9PM
Visited date : 27 Dec 2019
Website : https://mirai.dora-world.com/

การเดินทางนั้นก็ใช้รถไฟฟ้ามาที่ห้าง Divercity ค่ะ สถานีที่ใกล้ที่สุดก็จะเป็น Daiba (Yurikamome line) หรือ Tokyo Teleport Station (Rinkai line) ค่ะ

แล้วเดินไปที่ชั้น 2 ซึ่งก็มีป้ายบอกทางอยู่นะ แต่ก็ไม่ได้บอกอะไรละเอียดขนาดนั้นอะค่ะ

เดิน ๆ ไปก็เจอแบ็คดร็อปอันนี้ น่ารักกกกก

เดินหาจนเจอแล้วก็พบว่า คนเยอะมากจริง ๆ

หน้าร้านก็จะมีพี่ม่อนยืนคอยต้อนรับอยู่

ตัวร้านก็จะแบ่งเป็น 2 โซนใหญ่ ๆ ค่ะ คือโซนกิจกรรม มีเกมให้เล่น และอีกโซนนึงก็คือร้านค้าขายของที่ระลึกอย่างเดียวเลย ซึ่งมีของหลากหลายมาก ๆ ตั้งแต่ของใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไป ขนม สแน็ค เสื้อผ้า และของสะสมเลยค่ะ

ด้านหน้าทางเข้าของโซนเครื่องเล่น ก็จะมีป้ายอธิบายอยู่ประมาณนี้

ถ้าจำไม่ผิด จะมีของเล่นให้เล่นอยู่ 3 สิ่งค่ะ ซึ่งเราต้องซื้อเหรียญนี่ก่อนถึงจะเล่นได้ และเหรียญนี่ก็กดซื้อได้ที่ตู้ด้านหน้าทางเข้านี่แหละค่ะ โดยที่ราคาก็จะตามป้ายเลยคือ 1 เหรียญ 350Y แต่ถ้าซื้อ 3 เหรียญก็แค่ 1000Y เท่านั้นนนน

ให้ดูหน้าตาของเหรียญค่ะ เคโกะหยอดมา 2 เหรียญ ของพี่คนนึงที่ไปด้วยกันและของเพื่อนที่ฝากหยอดตามประสาคนชอบและสะสม

บรรยากาศภายในโซนของเล่นที่ว่าค่ะ

มุมของเล่นมุมแรกเลย เข้าประตูมาก็เจอเลยค่ะ

แล้วก็อีกตัวนึง

ส่วนอีกเครื่องเล่นนึง ถ่ายมานะ แต่มือถือเอ๋อพอดีค่ะ ภาพเบลอชนิดที่ออกสื่อไม่ได้เลยอะ T.T

แต่ทั้งนี้ก็มีของเล่นตัวนึงที่เล่นฟรีค่ะ

มันก็คือประตูไปที่ไหนก็ได้ค่ะ ว่ากันตามตรงก็คือ คล้าย ๆ Siri ของแอปเปิ้ลอะค่ะ ให้เราพูดชื่อสถานที่ที่เราอยากไป แล้วก็เปิดประตูออก ก็จะเป็นภาพสถานที่นั้น ๆ

ถามว่าเคโกะลองมั้ย จะเหลือรึคะ .. จัดไปด้วยทักษะญี่ปุ่นที่อ่อนด้อยล้วน ๆ 5555 (เค้ามีหลายภาษาให้เลือกก่อนเล่นนะ แต่เคโกะอยากลองด้วยภาษาญี่ปุ่นง่อย ๆ ของตัวเองไง 55)

ผลที่ได้ก็คืออออ…

ประโยคแรก เค้าให้เราบอกชื่อสถานที่ที่อยากไปค่ะ เคโกะตอบว่า “กรุงเทพ” (バンコク) แต่น่าจะออกเสียงผิด หรือฟังผิดนี่ล่ะค่ะ ก็เลยถามย้ำให้เราคอนเฟิร์มว่าใช่มั้ย เคโกะเลยพูดกรุงเทพซ้ำไปอีกครั้ง หลังจากที่คอมให้เราคอนเฟิร์มแล้วก็ตอบว่า “ใช่” (はい) ไป คอมก็จะบอกเราว่า “เข้าใจแล้ว รอแป๊บนะ”

แต่ตอนนั้นเข้าใจว่าระบบคอมหลังบ้านเอ๋อค่ะ ต่อให้คอมบอกว่าไปได้ ก็เปิดประตูออกไม่ได้อยู่ดี ไรงี้ค่ะ คนน่าจะเล่นเยอะนะ ก็มีความผิดพลาดกันบ้างค่ะ 5555

ส่วนในโซนที่เป็นร้านค้าขายของที่ระลึกนั้น ไม่ได้ถ่ายรูปมานะคะ แต่ของเยอะมากกกกก และคนต่อคิวชำระสินค้าก็เยอะมาก ๆ ด้วยค่ะ

มาสั้น ๆ แค่นี้ก่อนนะคะ โพสต์หน้าโพสต์สุดท้ายของทริปญี่ปุ่นแล้วค่ะ
https://web.facebook.com/thisiskeigo

[Tokyo] Yanaka Ginza + Sugamo Jizo-dori

สวัสดีค่ะ ยังอยู่กันที่ญี่ปุ่นอยู่น้าาาา และเพราะมาญี่ปุ่นหลายรอบมาก โดยเฉพาะโตเกียว เลยพยายามหาที่ที่ยังไม่เคยไป แล้วก็เลยมาเจอกับ walking street เข้า ซึ่งถูกจริตเคโกะที่ชอบเดินดูของและกินหนมไปด้วย ก็เลยต้องจัดค่ะ

จริง ๆ แล้วเป้าหมายนึงของเคโกะคือตลาดผ้าที่ Nippori หรือ Nippori Fabric Town นะ แต่ดูเหมือนว่าเคโกะจะมาผิดวันค่ะ ฮาาาาา

ไม่เป็นไร ก็จะลงรูปให้ดูเป็นแนวคร่าว ๆ เนาะ เผื่อใครสนใจก็ไปให้ถูกวันนะค้าาา 555

Spot name : Nippori Fabric Town/Nippori Textile Town
Location : Nippori, Tokyo
Google maps : https://goo.gl/maps/3q7jaVhA1mKMXnBE6
Entrance fee : free
Opening hours : 10.00-18.00 on Mon-Wed, Fri-Sat/8.00-18.00 on Thu/Closed on Sun
Visited date : 29 Dec 2019

ถ้าใครไปแอบดูปฏิทินดูก็จะเห็นว่าวันที่เคโกะไปน่ะเป็นวันอาทิตย์ 5555555 (หัวเราะเยาะตัวเองได้ นักเลงพอ 555)

จริง ๆ เคโกะมีเวลาหาข้อมูลน้อยค่ะ แล้วก็ไปเจอข้อมูลจากไหนมาไม่ทราบว่าวันอาทิตย์ก็เปิดนะ แต่เปิดน้อยไรงี้ ไอ้เราก็แบบ เออ ๆ ก็ว่างแค่วันอาทิตย์อ่ะ ก็ลองไปดูแล้วกันไรงี้ค่ะ

การเดินทาง นั่งรถไฟน่าจะสะดวกสุดค่ะไปลงที่สถานี Nippori แล้วออกตามป้ายบอกเลย คือ East exit ค่ะ แล้วเดินไปตามทาง มีป้ายบอกตลอดทางเลยค่ะ ไม่หลงแน่นอน

เดินใกล้ ๆ ถึงแล้วก็เอะใจละว่าดูเงียบผิดปกติ เพราะเท่าที่ดูรีวิวมา คือจะครึกครื้นเลยค่ะ มีของขายหน้าร้าน วางขายเยอะ ๆ คนเยอะ ๆ ไรงี้ แต่นี่คือเงียบกริบเลยอะ 5555

เดินได้นิดก็รู้แล้วค่ะ ร้านปิดวันอาทิตย์กัน ไม่ต้องมาวันอาทิตย์นะคะ

ว่างเปล่า โล่งสนิทเลยมั้ยล่ะ 555

คือร้านที่เปิดก็มีนะคะ แต่น้อยมากกกกกกกกกกค่ะ ไม่ควรมาวันอาทิตย์เป็นอย่างยิ่งค่ะ และบวกกับเคโกะไปช่วงใกล้ ๆ ปีใหม่อีก บางร้านก็ฉวยโอกาสหยุดยาวไปเลยค่ะ

5555 โอ๊ยยย ชั้นมาทำอะไรที่นี่~

ร้านนี้ชัดเจนค่ะว่าปิดวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ป้ายบอกหน้าร้านเลย

เอาล่ะ พลาดไปแล้ว ก็เลยเปลี่ยนเป้าหมายด่วน ๆ ค่ะ

ที่สถานี Nippori นี้ นอกจากจะมีตลาดผ้าแล้ว ก็ยังมีถนนช้อปปิ้งอีกด้วย ก็ย้อนกลับไปเดินเล่นกันดีกว่าค่ะ

Spot name : Yanaka Ginza
Location : Nippori, Tokyo
Google maps : https://goo.gl/maps/j9KMW7fe15XQpSLx7
Entrance fee : free
Opening hours : N/A (up to each store)
Visited date : 29 Dec 2019
Website : https://www.yanakaginza.com/

เดินย้อนกลับไปที่สถานี Nippori แล้วก็ไปทาง West exit ค่ะ เดินไปเรื่อย ๆ ตามทางเลยก็จะเจอกับ Yanaka Ginza ซึ่งเป็นเหมือน Walking street ความยาวไม่ยาวมากนักค่ะ เค้าว่ากันว่าที่นี่น่าจะเป็นที่ชื่นชอบของทาสแมว เพราะมีแมวเป็นกิมมิคค่ะ แล้วก็มีนุ้งแมวมาอวดโฉมให้ทาสแมวกรี๊ด ๆ ด้วยล่ะ แต่เคโกะเดินไม่เจอเลยซักตัวนะคะ

เดินมาเจองี้ก็ถูกทางแล้วค่ะ เดินตรงไปอีกนิด ก็จะเจอกับขั้นบันไดลงไปด้านล่าง

เริ่มมีความน่ารักมาให้กรี๊ดกร๊าดตามประสาทาสแมวแล้วค่ะ

ลักษณะก็จะเป็นตรอกเล็ก ๆ แคบ ๆ มีร้านค้าสองข้างทาง ซึ่งมีทั้งของทานเล่น ร้านอาหารและร้านค้าข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ เสื้อผ้าไรงี้ค่ะ

แล้วเราก็มาตะลุยหาของกินกันค่ะ

เริ่มที่ร้านนี้ ขายของทอด ๆ คนแน่นมากกกกกค่ะ ถ้าจำไม่ผิดจะขายมีทั้งราคาเป็นชิ้นกับตามน้ำหนักค่ะ

เคโกะก็เลือก ๆ มาสองสามอย่างนะ อย่างละนิดละหน่อย รวม ๆ กัน 270Y ค่ะ

ถามว่าอร่อยมั้ย คือ … ถ้าทอดมาร้อน ๆ ก็อร่อยดีอยู่หรอกค่ะ แต่บางอย่างก็วางไว้ซักพักแล้ว และอากาศหนาวเนาะ อาหารก็เย็นเร็วค่ะ แล้วก็มาแต่ละอย่างคือไม่หั่นเลย ใช้ความสามารถตัวเองในการกัดเคี้ยวล้วน ๆ ถ้าฟันดี ๆ ก็โอเคค่ะ แต่เคโกะฟันบิ่นนะ ทำให้กัดแบ่งเป็นคำ ๆ ยากมากค่ะ ไม่โอเคตรงนี้ (สาเหตุฟันบิ่นไปหาอ่านตอนที่ไปสิงคโปร์เมื่อปีก่อนนู้นนะคะ ฮ่าๆ)

เดินไปจนเกือบสุดซอย สังเกตเห็นว่าเนื้อสับทอดเป็นอะไรที่ฮิตมาก ขายอยู่หลายร้าน ก็อย่างกระนั้นกระนี้เลยค่ะ ซื้อมาชิมซักอันซิ ราคา 250Y ค่ะ เป็นเนื้อสับนะ

ร้านที่ซื้อก็ตามแบ็คกราวน์ที่เบลอ ๆ นั่นแหละค่ะ ฮาาาาาา …

รสชาติคือเนื้อสับปั้นเป็นก้อนแล้วเอาไปทอด ร้านนี้ดีหน่อย ยังพอร้อน ๆ อยู่ ก็จะได้ความกรุบกรอบภายนอก และรสชาติเนื้อสับอร่อย ๆ ด้านในค่ะ เค้ามีขายหลายแบบนะคะ

ต่อมา ก็ไปจัดแพนเค้กนุ้งแมวมา เป็นแพนเค้กไส้ขาเขียว … เค้าเรียกขนมแบบนี้ว่าอะไรนะคะ เคโกะก็นึกไม่ออกอะ แง้~

คล้าย ๆ ไทยากิ แต่ไม่ใช่ค่ะ เนื้อสัมผัสแป้งคือแพนเค้กเลย แต่เป็นแพนเค้กที่มีไส้ T.T

หมดความสามารถอธิบายให้เห็นภาพแต่เพียงเท่านี้ T.T

คือถ้าเคยไปไต้หวันและรู้จักขนมแนวนี้บ้าง มันคือ 车轮饼 (เชอหลุนปิ่ง) อะค่ะ –ก็ยังมีความพยายามจะอธิบายอยู่ T.T

ราคาค่าตัวนุ้งแมวไส้ชาเขียวนี้ 200Y ค่ะ กินแรก ๆ ก็อร่อยดี แต่กินให้หมดแล้วจะรู้สึกแอบเลี่ยนหน่อย ๆ รสชาเขียวคือดีเลยนะคะ ชาเขียวเจ้มจ้นมาก นอกจากนี้มีไส้อื่น ๆ ด้วยค่ะ อยากชิมไส้อื่นอีก แต่คิดว่าไม่ไหว เลยอันเดียวพอค่ะ

ต่อมา เรายังอยู่กับความกิมมิคแมว ๆ ก็ไปจัดโดนัทหางแมวมาอีกที่ร้านนี้ค่ะ เค้ามีป้ายให้ดูเลยว่าเมนูเค้ามีอะไรบ้าง แต่เป็นโดนัทหางแมว ทรงเดียวค่ะ

(ดูออกมั้ยว่าเคโกะกินของทอดต้นซอย แล้วเดินผ่านไปจนท้ายซอย แล้วไล่ของกินจากท้ายซอยขึ้นมาใหม่ค่ะ ร้านโดนัทหางแมวอยู่ติดกับร้านของทอดที่เคโกะกินเป็นร้านแรกสุดนั่นอะค่ะ ฮ่าๆ)

เคโกะเลือกตัวนี้มา เป็นช็อคโกแลตแบบทางม้าลาย ราคาน่ารัก 130Y ค่ะ รสชาตินั้น ช็อคโกแลตเข้มข้นดีมากค่ะ อร่อยเลยแหละ สายโดนัทและทาสแมวไม่ควรพลาดค่ะ

กินเยอะมากเลยเนอะ 555

อิ่มแล้วก็ขยับตัวไปที่อื่นต่อค่ะ

Spot name : Sugamo Jizo-dori/Sugamo Jizodori Shopping Street
Location : Sugamo, Tokyo
Google maps : https://goo.gl/maps/NVHRYUTf44HYM6YCA
Entrance fee : free
Opening hours : N/A (up to each store)
Visited date : 29 Dec 2019
Website : https://sugamo.or.jp/

เคโกะนั่งรถไฟต่อมาลงที่สถานี Sugamo นะคะ ออกจากสถานีมาแล้วก็ข้ามถนนเดินต่อไปอีกนิดนึงก็จะถึงถนนช้อปปิ้งเส้นนี้แล้วค่ะ

Sugamo Jizo-dori นี้ได้ชื่อว่าเป็นถนนสายฮาราจูกุของรุ่นคุณย่าคุณยายค่ะ คล้าย ๆ กับเป็นถนนสายแฟชั่นในอดีตไรงี้นะคะ

สิ่งนึงที่เด่นมากของถนนสายนี้ก็คือ ร้านชั้นในสีแดงค่ะ

เท่าที่ทราบข้อมูลมาก็คือ คนสมัยก่อนเค้ามีความเชื่อกันว่าถ้าใส่ชั้นในสีแดงก็จะทำให้โชคดีและอายุยืนค่ะ เท่าที่เคโกะไปตระเวณญี่ปุ่นมานะ ก็ไม่เคยเห็นร้านแบบนี้ที่ไหนนอกจากที่นี่เลยค่ะ ^^”

เข้าไปวน ๆ ในร้านมาเหมือนกันนะ มีหลายหลายไซส์มากค่ะ และพัฒนาไปถึงว่ามีเสื้อบังทรง เสื้อชั้นในแบบคุณยาย กางเกงในมีลายตามปีนักษัตรไรงี้ด้วยค่ะ .. มีปีเคโกะด้วยนะ ยืนลังเลอยู่ว่าจะเอาดีไหม แต่ไม่ดีกว่าค่ะ ไม่ชอบสีแดงเป็นการส่วนตัวอะ ฮาาาาา

อีกอย่างนึงที่เด่นมากบนถนนสายนี้ก็คือน้องเป็ดค่ะ น้องเป็ดมีชื่อด้วยนะ ชื่อซูกะมง (Zugamon) เป็นกิมมิคน่ารัก ๆ ของถนนเส้นนี้ค่ะ เราจะเจอน้อลอยู่ทุกที่เลย เห็นเค้าว่ามีก้นเป็ดตัวใหญ่ให้จับด้วยนะ แต่เคโกะหาไม่เจอค่ะ

เดินบนนถนนสายนี้ จะเจอวัดนึงที่ชื่อว่า Koganji Temple ค่ะ เข้าไปไหว้พระกันค่ะ

เข้ามาด้านในแล้วจะเจอกระถางธูปใหญ่สะดุดตามากค่ะ

วัดแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นวัดที่ดังในด้านการขอพรให้สุขภาพแข็งแรงค่ะ ด้วยการอาบน้ำให้พระพุทธรูปที่อยู่ด้านข้างของตัวอาคาร

มีชื่อเสียงมากขนาดที่มีคนมาต่อแถวยาวมากค่ะ

วิธีการก็คือ เราต้องเอาผ้าสะอาดไปด้วยค่ะ แล้วจะวักน้ำ (มีกระบวยตักน้ำให้) ไปรดองค์พระแล้วใช้ผ้าทำความสะอาด หรือจะชุบน้ำให้ผ้าเปียกแล้วเช็ดองค์พระก็ได้ค่ะ

ถ้าไม่มีผ้าก็ซื้อเอาค่ะ มีขายทุกร้านที่อยู่ในวัดเลย 5555 ราคา 100Y เท่านั้นค่ะ

ถามเคโกะว่าจะพลาดมั้ย เด็กขี้โรคอย่างเคโกะมีเหรอจะไม่พลาด … แหะๆ

เสร็จสรรพแล้วอย่าเพิ่งไปไหนค่ะ มาลองชิมดังโหงะข้าง ๆ ก่อน เป็นดังโหงะเกลือ ไม้ละ 100Y ค่ะ ยืนทานเสร็จแล้วหย่อยไม้ที่ใช้แล้วลงกล่องที่หน้าร้านได้เลย

เคโกะอยากได้ถุงเครื่องรางด้วยนะ แต่ภาษาญี่ปุ่นก็อ่อนแอเหลือเกิน .. ไว้หลอกเซนเซไปด้วยได้ก่อนนะ จะไม่พลาดค่ะ ฮาาาาา

นอกจากวัดนี้แล้ว หากเดินไปจนสุดถนนสายนี้ ตรงสี่แยกถนน เลี้ยวขวานิดหน่อย ก็จะเจอศาลเจ้าอีกแห่งนึงค่ะ ผู้คนนิยมไปกราบไหว้เช่นกัน

ศาลเจ้าแห่งนี้ก็คือ Sugamo Sarutahiko Koshindo ค่ะ

สิ่งที่โดดเด่นของศาลเจ้าแห่งนี้ก็อย่างที่เห็นในรูปด้านบนค่ะ เป็นรูปปั้นลิง และมีลิงปิดตา ปิดหู ปิดปาก ปิดการรับรู้สามอย่างที่เรา ๆ น่าจะคุ้นเคยกันดีค่ะ

จากนั้นเดินกลับมาทางเดิม ซึ่งต้นถนนสายนี้ ก็ยังมีวัดอีกแห่งนึงอีกนะคะ ชื่อว่า Shinshoji Temple ค่ะ

เคโกะก็เข้าไปไหว้พระนิดหน่อยก่อนกลับนะคะ

จริง ๆ แล้วเท่าที่ได้ข้อมูลมา บนถนนสายนี้ยังมีอย่างอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีก เช่น ผักดองสไตล์ญี่ปุ่น ขนมเซมเบ้ ไรงี้ค่ะ ซึ่งเคโกะไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ เลยเดินผ่าน ๆ ไปนะคะ

ช่วงนี้ก็ดูแลตัวเองกันด้วยนะคะ แล้วเจอกันในโพสต์หน้า ยังอยู่ที่ญี่ปุ่นอยู่ค่ะ แหะๆ
https://web.facebook.com/thisiskeigo

[Yamanashi] Kawaguchi-ko

สวัสดีค่ะ วกออกมานอกไต้หวันแป๊บนะคะ เดี๋ยวค่อยวนกลับไปใหม่ ฮาาาาา

โพสต์นี้พาไปเที่ยวรอบทะเลสาบคาวากุจิโกะ สถานที่ยอดฮิตอีกที่นึงของคนไทยที่ไปญี่ปุ่นเลยค่ะ

Spot name: Kawaguchi-ko
Location: Yamanashi, Japan
Visited date: 25-26 Dec 2019

เคโกะขอเล่าการเดินทางตั้งแต่สนามบินเลยนะคะ เพราะแพลนของเคโกะคือบินลงสนามบินปุ๊บ ก็จะมุ่งหน้าไปที่ Kawaguchiko เพื่อตามไปสมทบกับพี่ ๆ ร่วมทริปอีก 2 คนที่เค้าเดินทางไปรออยู่ล่วงหน้าแล้วค่ะ

จากสนามบินนาริตะ มีรถบัสไดเร็กไปที่คาวากุจิโกะเลยค่ะ ของบ. keisei ซึ่งมีวันละ 2 รอบค่ะ ราคาเที่ยวละ 4800Y สามารถซื้อได้ที่เคาน์เตอร์ของรถบัส keisei ที่อยู่ในสนามบิน ห้องโถงของผู้โดยสารขาเข้าเลยค่ะ

รายละเอียดรถบัสนะคะ ดูได้จากลิ้งค์นี้เลย:
http://bus-en.fujikyu.co.jp/highway/detail/id/39/

หน้าตาบัตรโดยสารก็จะหน้าตาประมาณนี้ เพิ่งสังเกตว่าเค้าใส่ชื่อผู้โดยสารมั่ว ๆ ไป ฮาาา

เค้าก็จะบอกว่าให้ไปรอรถที่ป้ายรถเบอร์อะไร ของเคโกะในที่นี้คือเบอร์ 11 ค่ะ ที่เค้าเขียนวงไว้ให้สีแดงค่ะ

ก็ออกไปรอที่ป้ายรถ รถมาตรงเวลาตามสไตล์ญี่ปุ่นเลยค่ะ

บนรถมีที่ชาร์จโทรศัพท์แบบ USB ด้วยนะคะ ก็ชาร์จไปเล่นโทรศัพท์ไปหลับไป เพลิน ๆ ก็ถึงค่ะ รถที่เคโกะไปนั้นไม่มีคนลงป้ายก่อนหน้าเลย (รถจะจอดที่ Fuji Q Highland, Mt.Fuji sta. ก่อนถึงป้ายสุดท้ายที่เคโกะลงคือ Kawaguchiko sta. ค่ะ) รถก็เลยมาถึงจุดหมายปลายทางก่อนเวลาอยู่พอสมควรเลยค่ะ

นี่เป็นการมาที่ Kawaguchiko เป็นครั้งที่สองของเคโกะแล้วค่ะ ก็จะไม่ค่อยตื่นเต้นกับวิวเท่าไหร่ ตื่นเต้นกับคนที่จะไปเที่ยวด้วยมากกว่า ฮาาาาา 😛

ลงจากรถบัสแล้วอย่าเพิ่งเดินหนีไปไหนค่ะ หันหลังกลับมาก่อน ก็จะเห็นวิวฟูจิซังที่อยู่ด้านหลังสถานีรถไฟ ซึ่งเป็นที่เดียวกับป้ายรถบัสต่าง ๆ ด้วยค่ะ มาจอดตรงนี้หมดนะ

บังเอิญว่าพี่ ๆ ที่ร่วมทริปกันเค้าอยู่แถวนั้นพอดี ก็เลยรอรถของบ้านพักที่จองไว้มารับไปที่พักค่ะ ซึ่งที่พักนั้นเดินไปที่ริมทะเลสาบได้ และเห็นฟูจิซังได้แบบเต็ม ๆ ตาเลย วิวสวยเวอร์วังมากกกกกกกกกก (ไม่มีรีวิวที่พักให้นะคะ อารามตื่นเต้นกับคนร่วมทริปใหม่อะ เลยไม่ได้ถ่ายรูปไว้เลย ><~)

พอวันถัดมา ก็แพลนกันว่าจะไปไหนกันบ้าง ซึ่งทริปนี้เคโกะก็จะเป็นผู้ติดตามที่ดีค่ะ 5555

เริ่มต้นที่ Kachi Kachi Ropeway ก่อนค่ะ นั่งรถบัสสายสีแดงไปลงที่ป้ายเบอร์ 9 หรือ Sightseeing Boat/Ropeway Ent. ค่ะ

รายละเอียดเกี่ยวกับรถบัสรอบทะเลสาบนั้นดูได้จากลิ้งค์นี้ค่ะ
http://bus-en.fujikyu.co.jp/heritage-tour/detail/id/1/

จะมีคุณกระต่ายน้อยที่เป็นสัญลักษณ์ของ Kachi Kachi Ropeway ยืนต้อนรับอยู่ แล้วเราก็ซื้อตั๋วค่ะ ซึ่งเราเลือกตั๋วแบบ combo set ที่รวมเอากระเช้าและเรือด้วยกัน ราคา 1600Y ค่ะ

จากนั้นก็ขึ้น ropeway ไปจนสุด ก็จะเจอกับคุณฟูจิซังแบบเต็ม ๆ มุมสูงค่ะ

เพราะเคยมาแล้ว เลยเลือกรูปที่ถ่ายฟูจิซังคู่กับกระดิ่งที่อยู่ด้านบนเขามานะคะ

ซึ่งถ้าใครอยากอ่านรีวิวตรงนี้ในฉบับเก่าที่เคโกะเคยไปมาแล้วเมื่อ 8 ปีก่อน (ในรายละเอียดหลัก ๆ ก็เหมือน ๆ เดิมค่ะ ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย) ก็ไปอ่านได้ตามลิ้งค์ 2 ตอนนี้เนาะ
In love, in Japan ep3
In love, in Japan ep4

ใกล้ ๆ ก็จะมีศาลเจ้าคุณกระต่ายอยู่ค่ะ

ตรงป้ายด้านหน้าศาลก็จะบอกเลยว่าคือศาลเจ้ากระต่าย

ข้าง ๆ ของศาลเจ้าคุณกระต่ายก็จะเป็นทาง trail ที่ครั้งก่อนมา ก็ไม่ได้ไปเดิน เพราะตอนนั้นยังไม่อินกับการ trail อะไรอย่างนี้ แต่ครั้งนี้มาก็ไม่ได้ไปเดินอีกเพราะปิดค่ะ 555

แอบถ่ายคุณเทพเจ้ากระต่ายมาให้ดู

แล้วก็มีร้านขายของที่ระลึกที่มีของน่ารัก ๆ เยอะเลยค่ะ อย่างเคโกะเองที่ว่าไม่ชอบซื้อของพวกนี้ ก็ยังอดใจไม่ได้ซื้อกลับมาชิ้นสองชิ้นเลย ><

ที่เปลี่ยนไปก็คือ มีทางเดินขึ้นไปชมวิวแบบพาโนรามาแล้วค่ะ อยู่ชั้นบนของร้านขายของนี่แหละ

ดูวิวทะเลสาบกันก่อนนะคะ

แล้วก็หมุนไปดูฟูจิซังบ้าง มุมนี้ยอดฮิตมาก คนแน่นเชียวค่ะ

ดูวิวจนอิ่มหนำสำราญแล้ว ก็นั่ง ropeway กลับลงมาด้านล่างตามเดิมค่ะ

เคโกะมีทำเป็นคลิปไว้ให้ดูกันเล่น ๆ ด้วยน้าาาา จิ้มดูกันได้ค่ะ ^^”

เคโกะถ่ายมา 2 คลิปแล้วเอามาต่อกัน ซึ่งคลิปแรกเคโกะใช้มือถือถ่าย พอเอามาต่อกับคลิปที่ 2 ที่ใช้กล้องถ่ายรูปถ่าย ก็เลยกระตุกไปนิดหน่อยนะคะ แหะ ๆ ><“

จากนั้นก็เดินข้ามไปฝั่งตรงข้าม แล้วไปทางซ้ายมือค่ะ ไปยังท่าเรือของ sightseeing boat ก็โชว์ตั๋วที่เราซื้อมาพร้อมกับ ropeway ก็ผ่านไปรอขึ้นเรือได้แล้วค่ะ

รออยู่พักนึง เรือก็เข้ามาเทียบท่าแล้วค่ะ

ซึ่งเรือลำนี้ก็พาไปวน ๆ ดูถึงประมาณสะพานที่ข้ามฝั่งทะเลสาบอะค่ะ แล้วก็วนเรือกลับ ระหว่างทางก็มีบรรยายอะไรไปด้วย ซึ่งเคโกะฟังไม่ออก 5555

ก็เน้นดูวิวทะเลสาบ + ฟูจิซังเลยค่ะ

จากนั้นพวกเราก็นั่งรถบัสสายสีแดงไปที่ป้ายเบอร์ 15 หรือ Kawaguchiko Music Forest Museum ค่ะ

แล้วก็เข้าไปซื้อบัตรเข้าชมกันก่อน คนละ 1500Y ค่ะ ถ้าจำไม่ผิดนี่คือราคาลดแล้ว เพราะเราได้คูปองส่วนลดจากที่พักมาด้วยค่ะ

ซื้อตั๋วเสร็จแล้ว เราสามารถเช่าชุดเพื่อถ่ายรูปเล่นกับสถานที่ให้เข้ากับบรรยากาศก็ได้ค่ะ เห็นสายถ่ายรูปเค้าก็มาเช่าชุดไปถ่ายรูปกันอยู่นะ

จากนั้นก็เข้าไปด้านในกัน ซึ่งสถานที่เค้าทำออกมาทรงยุโรปเลยค่ะ แต่อาณาบริเวณนั้นดูไม่ได้ใหญ่กว้างขวางนักนะคะ ถ้าเทียบกับแผนที่ที่เค้าให้มาตอนซื้อบัตรแล้ว คนละเรื่องเลยอะ 555

พวกเรามาถึงจวนได้เวลาชมโชว์น้ำพุพอดีค่ะ ก็เลยรอชมกัน ได้ที่นั่งแถวหน้าด้วยนะ เคโกะถ่ายวิดีโอมาด้วยค่ะ แต่น่าเสียดายว่าไม่มีขาตั้งกล้อง แล้วมือสั่นมากกกก พอมาย้อนดูแล้วไหวมาก กลัวจะเวียนหัวกัน เลยขอไม่ลงให้ดูนะคะ ><“

หลัก ๆ สำหรับที่นี่แล้วก็คือการชมโชว์ต่าง ๆ กับชื่นชมสถานที่ค่ะ เค้าจัดออกมาได้สวยงามอยู่ สไตล์ยุโรปอย่างที่เคโกะว่าไปแล้ว แล้วก็มีร้านค้าขายของด้วย เข้าธีมกับสถานที่หมดเลยค่ะ

แล้วก็มีทางออกด้านหลังที่ไปเดินเลียบทะเลสาบด้วย แต่ต้องระวังนิดนึงค่ะ เพราะทางออกตรงนี้คือออกได้อย่างเดียว เข้าไม่ได้ ถ้าจะกลับเข้าใหม่ต้องไปเข้าด้านหน้าค่ะ

คุยกันกับพี่ ๆ แล้วก็ตกลงว่าเดินข้างในกันให้ครบแล้วก็วนออกด้านหลังตรงนี้ ชมวิวกันอีกนิดนึงค่ะ

จริง ๆ แล้วบริเวณนี้เราจะมองเห็นฟุจิซังได้ด้วย แต่เผอิญว่าอากาศไม่เป็นใจค่ะ cloudy ตั้งแต่คล้อยบ่ายมาเลย ก็เลยมองไม่เห็นฟูจิซังอีก ก็เลยได้แต่เดินชมวิว เม้าท์มอยกันไปพลาง ๆ ก่อนที่จะขึ้นรถกลับไปที่สถานี Kawaguchiko ค่ะ

บังเอิญอีกแล้ว เราเจอรถบัสที่วิ่งตรงไปสถานี ไม่แวะไหนเลย แล้วคุณคนขับก็ต้องคอยชูป้ายบอกทุกป้ายที่จอด ก่อนที่จะวิ่งยาวไปยัง Kawaguchiko sta. ค่ะ

การเที่ยวทะเลสาบ Kawaguchi นี้ก็เลยจบลงห้วน ๆ แบบนี้เลยนะคะ เคโกะมานี่แค่คืนเดียว อยู่เที่ยวทั้งวันแล้วก็จะตีรถกลับเข้าโตเกียวค่ะ ซึ่งภารกิจสำคัญของทริปญี่ปุ่นนี้ก็อยู่ที่โตเกียวนี่แหละ เคโกะโพสต์ลงเพจไปแล้วนะคะ เดี๋ยวไว้ว่าง ๆ ที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะเอามารีรันใน wordpress อีกรอบเนอะ

น่าจะยังอยู่ญี่ปุ่นกันอีกซักสองสามโพสต์นะคะ แล้วจะพาวกกลับไปไต้หวันอีกแล้ว (ห้ะ!!!)

ก็ช่วงนี้เที่ยวไทยยังไม่ได้ เอาทริปที่ดองไว้มาโพสต์ให้หมดก็แล้วกันเนาะ แหะๆ //เสียงอ่อน

ชวนเม้าท์มอยกันได้ที่เพจนะคะ เหงามากกกก 555
https://www.facebook.com/thisiskeigo

[Tokyo] Hiromas Hostel in Ueno

สวัสดีค่ะ โพสต์นี้ตัดอารมณ์มาญี่ปุ่นบ้างเนอะ ต่อไต้หวันกันยาว ๆ กลัวจะเบื่อค่ะ แหะๆ

โพสต์นี้จะเล่าถึงโฮสเทลแรกที่เคยพักในญี่ปุ่นเลยค่ะ ไปมาหลายหนแต่ยังไม่เคยพักโฮสเทลเลยแหละ

Hostel name : Hiromas Hostel in Ueno
City : Ueno, Tokyo, Japan
Location : https://g.page/hiromas-ueno?share
Booking via : booking.com
Room type : Bed in 20-bed Female Dormitory Room
Room rate : 3,645Y (pre-paid in 1,050BHT)
Check-in date : 29-30 Dec 2019, 1 night
Website : https://hiromas.net/ueno/en/

โฮสเทลนี้อยู่ใกล้กับสถานีอุเอโนะเลยค่ะ ก็สะดวกดี แต่ว่าก็ไม่ได้ใกล้อะไรขนาดนั้นค่ะ เดินไปราว ๆ 10-20 นาที ขึ้นอยู่กับว่าจะไปตรงไหนของสถานีอุเอโนะเนาะ อย่างถ้าจะไป JR Ueno ก็จะราว ๆ 10 นาทีค่ะ แต่ถ้าจะเดินไป Keisei Ueno ก็จะประมาณ 20 นาทีไรงี้

เคโกะเดินเท้าไปจากอีกโรงแรมนึงแถว ๆ อุเอโนะ (คนละซีกกับโฮสเทลนี้นะคะ) ปากซอยมีลายน่ารักบนทางเท้าด้วย

เป็นถนนที่ชื่อว่า Kappabashihon ล่ะค่ะ ก็เลยมีลายกัปปะบนพื้น ส่วนภาษาญี่ปุ่นข้าง ๆ ก็คือทางลัดไปอาซะกุสะค่ะ

จากปากซอย เดินมาอีกนิดนึงก็ถึงแล้วค่ะ

สตาฟโฮสเทลพูดอังกฤษได้ดีทุกคนเลยค่ะ ฝากกระเป๋าก่อนเข้าพักได้ด้วย

ด้านหน้าเคาน์เตอร์เช็คอิน มีชั้นวางหนังสือนำเที่ยวหลากหลายแนว มีภาษาไทยด้วยล่ะ

ส่วนกลางมีโต๊ะนั่งกว้างขวาง เพียบเลยค่ะ และมีส่วนครัวเล็ก ๆ ซึ่งตรงนี้จะอยู่ชั้นล่าง ก่อนถึงเคาน์เตอร์เช็คอินทั้งหมดค่ะ

ใกล้ ๆ กันมีตู้กดน้ำหยอดเหรียญด้วยนะ

พอเช็คอินแล้ว เค้าจะให้การ์ดมา 1 ใบ จะมีพาสเวิร์ดเข้าห้องอยู่ค่ะ เพราะเคโกะพักห้องผู้หญิงล้วนเนอะ ก็ต้องมีพาสเวิร์ดเข้าห้องเพื่อความปลอดภัยค่ะ

ห้องจะเป็นห้องใหญ่ ๆ เลย แล้วแบ่งเป็นเตียงยิบย่อย 20 เตียง แบบ 2 ชั้น มีม่านปิดให้ทุกเตียงเพื่อความเป็นส่วนตัวค่ะ

ในห้องนอนเองเค้าแบ่งสัดส่วนไว้ค่อนข้างดีค่ะ มีราวแขวนเสื้อให้ริมห้องสุดเลย มีเบอร์ห้องแปะไว้ที่ไม้แขวนเสื้อทุกอันสำหรับทุกเตียงค่ะ มีรองเท้าแตะให้ใช้ (จะมีติดไว้ว่าฟรี –หมายถึงของโฮสเทลค่ะ) ส่วนล็อคเกอร์ก็จะเป็นระบบแบบตั้งพาสเวิร์ดเอาเอง ซึ่งเป็นตู้ใหญ่อยู่ แต่เคโกะก็ยัดกระเป๋าเดินทางและกระเป๋าอื่น ๆ เข้าไปทั้งหมดไม่ได้อยู่ดีค่ะ ฮาาาา

ส่วนที่นอน มีล็อคเกอร์อันเล็กเหนือหัวให้ใช้เช่นกัน ระบบเดียวกับล็อคเกอร์ใหญ่ที่อยู่นอกเตียงเลยนะคะ

ข้าง ๆ เตียงเป็นชั้นแบบพับได้ค่ะ สามารถยกขึ้นมาตั้งไว้เป็นที่วางของกรุบกริบเบา ๆ ได้อีกด้วย

ส่วนห้องน้ำไม่มีรูปง่ะ แต่เป็นห้องน้ำในตัวค่ะ ใช้รวม ๆ กัน แบ่งชัดเจนว่าห้องอาบน้ำและห้องส้วมเลยค่ะ ซึ่งสะอาดสะอ้านดี มีอุปกรณ์ให้ใช้ครบครันด้วยค่ะ

สรุปเลยแล้วกันเนอะ

  • โลเคชั่นจัดว่าไม่ได้ดีเวอร์มาก แต่ก็ไม่ได้แย่เกินไป ใกล้สถานีอุเอโนะ (ใกล้ JR ที่สุดค่ะ) แต่โดยรวมถือว่าดีแล้ว คุ้มกับราคาที่จ่ายไปอะค่ะ
  • มีความปลอดภัยที่ถือว่าดีมาก ไม่มีการเปิดประตูห้องค้างไว้แบบที่เคยเห็นในโฮสเทลไต้หวันเลยนะคะ (ฮาาา)
  • สตาฟพูดอังกฤษได้ดีและชัดเจนค่ะ อธิบายกฎกติกาเข้าพักได้ชัดเจนดีด้วย
  • ที่พักสะอาด ห้องน้ำสะอาดดีเยี่ยมเลยค่ะ
  • มีผ้าเช็ดตัวให้ด้วย มีแชมพู สบู่ให้ใช้ในห้องน้ำด้วยค่ะ มีไดร์เป่าผม ครบครันมาก
  • มีไวไฟบริการ ความเร็วดีอยู่ค่ะ

โดยรวมแล้วประทับใจเลยแหละ เป็นที่พักโฮสเทลที่ดีที่นึงเลยค่ะ แนะนำนะคะ ^^

ฝากเพจด้วยค้าาาา
https://www.facebook.com/thisiskeigo/

[Japan] Foodies #7

สวัสดีค่ะ มาถึงตอนสุดท้ายของทริปญี่ปุ่นแล้วนะคะ แทรกทริปไต้หวันมาแล้วก็จบก่อนเค้าอะเนอะ 5555

และก็เช่นเคยนะคะ เลข 7 ที่ใส่เป็นหัวเรื่องนั่นก็หมายถึงทริปครั้งที่เท่าไหร่ค่ะ ^^”

เริ่มกันเลยดีกว่าเนอะ ว่าทริปนี้ได้กินอะไรไปบ้าง

ซุชิรวม จากร้านอาหารใกล้ ๆ โรงแรมค่ะ เมนูเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด รูปอาหารมีไม่ครบทุกเมนู พนง.เองก็พูดอังกฤษไม่ได้ค่ะ ใช้ความรู้ภาษาญี่ปุ่นอันน้อยนิดในการสั่งมา ส่วนรสชาติก็ปกติทั่วไปค่ะ ไม่ได้โดดเด่นอะไร

ส่วนเซ็ทนี้ร้านเดียวกัน แต่เป็นของเพื่อนคนนึงค่ะ เป็นเซ็ทเทมปุระ

อีกเซ็ทของเพื่อนอีกคนในกลุ่มค่ะ เป็นหม้อไฟที่เรียกว่านาเบะค่ะ

ทั้ง 3 เซ็ทนั้นอยู่ที่ 4180Y ค่ะ

ต่อไปเป็นร้านขนมค่ะ ตามรอยคนอื่นไปชิมแพนเค้กซูเฟล แต่ไปกัน 3 คน จึงต้องสั่ง 3 จานค่ะ (เป็นกติกาของญี่ปุ่นเน้อ)

ร้านชื่อ Burn Side ST cafe ค่ะ อยู่ในย่านชินจูกุ – ฮาราจูกุค่ะ

Google maps: https://goo.gl/maps/8rQLkcmRRs4SGzPk6

แล้วก็สั่งแพนเค้กส้มมาอีกจานนึง ส่วนตัวคิดว่าแพนเค้กซูเฟลธรรมดา (รูปข้างบน) อร่อยกว่าค่ะ ไม่หวานจนเกินไป และเนื้อแพนเค้กคือนุ่มนิ่มมาก

จานสุดท้าย เป็นแซนด์วิชไส้กรอกอะไรสักสิ่งค่ะ เอาเนื้อสัตว์มาลงท้องบ้างอะนะคะ 555

ทั้ง 3 จานนี้ราคา 4460Y ค่ะ แอบแรงนิดนึง ^^”

ต่อด้วยเครปนิ่ม ระแวกเดียวกันค่ะ ราคา 690Y ก็อร่อยดีนะคะ เครปนิ่ม ครีมที่โปะมาก็หวานพอดีค่ะ ไอศกรีมออกจะหวานไปนิดนึงนะ

ต่อไปเป็นราเม็งในสถานีรถไฟค่ะ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นสถานี Noborito เป็นวันที่เราไป Fujiko F Fujio Museum พอดีค่ะ

แล้วจานนี้ก็เป็นคล้าย ๆ ราดหน้าของบ้านเราอะค่ะ ทานในร้าน 24ชม. แถว ๆ โรงแรม ออกเค็มไปนิดนึง แต่ปริมาณเยอะมากกกกก ถ้าตัดเรื่องเค็มออก รสชาติโดยรวมคือดีค่ะ

ต่อไปเป็นของกินเล่นที่ไม่ได้จดราคามาเลยค่ะ

ตัวแรกเป็นป๊อกกี้รสโกโก้กาแฟค่ะ อร่อยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก เจอในร้านมินิมาร์ท Newdays ค่ะ

ต่อไปเป็นข้าวเกรียบแท่งๆ รสข้าวโพด มีหลายรสชาติค่ะ ซื้อมาชิมหลายรสก็อร่อยทุกรสเลย หาได้ตามมินิมาร์ททั่วไปเลยค่ะ

ฉีกซองทานหมดแล้วถึงค่อยถ่ายรูปนะคะ อร่อยจนลืมถ่ายรูปไว้ก่อนอะ ><“

นมเมล่อน เจอในมินิมาร์ทเช่นกันค่ะ ก็จะหอมเมล่อนมาก ๆ อร่อยดีค่ะ

ปิดท้ายที่ชาสด (Craft tea) รสส้ม ตัวนี้กดมาจากตู้จำหน่ายอัตโนมัติที่สนามบินนาริตะค่ะ หอมส้มนิด ๆ แต่ไม่หวานเลย คือชอบมากกกกค่ะ

ก็ประมาณนี้ล่ะค่ะ ดูน้อย ๆ เนอะ ^^”

แวะไปพูดคุยกันได้ที่เพจนะคะ
https://www.facebook.com/thisiskeigo/

Hakone

สวัสดีค่ะ มาอีกสถานที่นึงที่คนไทยน่าจะคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วค่ะ ^^”

Spot name : Hakone / 箱根
Google maps : https://goo.gl/maps/WrNgdw8gjc2JKHhH8
Transportation : Hakone free pass from Shinjuku
Entrance fee : Hakone freepass 5140Y (not include romance car upgrading)
Opening hours : N/A
Visited date : 19 Feb 2019
More information : https://www.japan-guide.com/e/e5200.html
https://www.odakyu.jp/english/passes/hakone/

จริง ๆ เคโกะเคยไปมาก่อนแล้วหน้านี้เมื่อหลายปีมาแล้วค่ะ ยังเขียนอยู่ในบล็อกเดิมอยู่เลยอะ อ่านได้ ที่นี่ ค่ะ

วันนั้นที่เราไปกันก็ดูพยากรณ์อากาศกันล่วงหน้าแล้วค่ะว่าอากาศน่าจะแจ่มใสดี เพราะเพื่อนอยากมาดูฟูจิซังค่ะ

แต่พอมาถึงหน้างานจริง ๆ แล้ว นอกจากท้องฟ้าจะไม่แจ่มใส่แล้ว ฝนก็ยังตกด้วยค่ะ T.T

บางช่วงบางตอนก็เลยจะไม่มีรูปนะคะ ขอใช้การบอกเล่าแทนนะคะ ^^”

เรานั่งรถไฟสาย Odakyu มาจนถึง Hakone-Yumoto แล้วก็ต่อรถไฟไปที่ Gora เพื่อนั่ง Cable car ไปยัง Owakudani ที่เป็นหุบเขาที่เป็นปล่องภูเขาไฟที่มอดไปแล้ว และเต็มไปด้วยกำมะถันค่ะ

ระหว่างทางบน cable car เห็นเมฆฝนมาแต่ไกลเลยค่ะ

พอไปถึงสถานีปลายทาง ฝนตกปรอย ๆ และลมแรงทีเดียว

เราแวะเดินเล่น + ทำใจกับสภาพอากาศกันตรงนี้ก่อนอยู่ครู่หนึ่งค่ะ ตรงนี้ก็จะมีร้านค้าขายของที่ระลึก ซึ่งบางอย่างก็จะเป็นสินค้าที่มีขายเฉพาะที่นี่เท่านั้น และไข่ดำอันเลื่องชื่อ ซึ่งเดี๋ยวนี้เค้ามีจุดรับประทานไข่ดำพร้อมถังขยะทิ้งเปลือกไข่ให้พร้อมเลยล่ะค่ะ สมัยก่อนยังไม่มีนะนี่

เจอที่นั่งรูปไข่ดำด้วย น่ารักมากค่ะ

แล้วก็ฝ่าฝนออกไปเดินถ่ายรูปที่หุบเขาที่ว่าค่ะ ก็จะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับตัวอาคารที่เป็นร้านขายของที่ระลึก ไม่ไกลจากตัวสถานีที่เป็น ropeway ค่ะ

ดูแบบพาโนรามาบ้าง

ในคู่มือนำเที่ยวบนเว็บ Odakyu ที่แนะนำการท่องเที่ยวใน Hakone นี้ก็ได้พูดถึงของกินที่ขึ้นชื่ออยู่สองสามอย่าง เคโกะก็เลยชวนเพื่อน ๆ แวะชิมกันก่อนไปต่อค่ะ

อย่างแรกเป็นขนมปังไส้แกงกะหรี่ในร้านคาเฟ่เล็ก ๆ ที่ติดกับร้านขายของที่ระลึกค่ะ แต่เราก็สั่งอย่างอื่นมาทานกันด้วย ดูจริงจังมากอะ

ทั้งหมดนี่สนนราคา 2540Y ค่ะ

ส่วนรสชาตินั้น เคโกะว่าเฉย ๆ ค่ะ มีความเป็นแกงกะหรี่อยู่ แต่ก็ไม่ได้จัดจ้านอะไรค่ะ

แล้วเราก็ตบท้ายด้วยไข่ดำตามสูตรอะนะ 5 ฟองนี้ 500Y ค่ะ มีถุงเกลือแถมมาให้ในถุงไข่ดำด้วย

ถ้ากินไข่ดำแบบไม่โรยเกลือ มันก็จะเหมือนไข่ต้มธรรมดา ๆ อะค่ะ แต่โรยเกลือลงไปก็เพิ่มรสชาติขึ้น

เติมของกินลงท้องกันไปแล้ว เราก็ฝ่าฝนไปขึ้น ropeway กันค่ะ

ปกติแล้ว ถ้าอากาศแจ่มใส เราจะสามารถมองเห็นฟูจิซังได้เลยจาก ropeway นี่เลยค่ะ (จริง ๆ ก็จะเห็นได้ตั้งแต่ที่อยู่บริเวณร้านค้าตรงหุบเขากำมะถันแล้วล่ะค่ะ)

แต่สำหรับวันนั้นแล้ว …. //หมดคำพูด ปาดน้ำตาเบาๆ

ข้ามฝั่งไปแล้ว เราก็เดินต่อเพื่อจะไปลงเรือล่องทะเลสาบ Ashi ซึ่งตรงสถานีปลายทางนี่ก็จะมีร้านอาหารที่มีข้าวห่อไข่ที่ขึ้นชื่อ (ตามลายแทงเดียวกันกับขนมปังไส้แกงกะหรี่ค่ะ) อีกที่นึง แต่พอหันไปซาวด์เสียงเพื่อน ๆ ต่างก็อิ่มกันหมดแล้ว เลยสั่งมาแค่ 1 จานค่ะ

ถ้าใช้ Hakone freepass จะสามารถลดได้อีกประมาณ 5% ด้วยค่ะ ถ้าจำไม่ผิดล่ะนะ จะเหลือแค่ 1140Y เท่านั้น มีสลัดผักจานเล็กให้ด้วย

ส่วนรสชาติ เคโกะว่ามันคือข้าวแกงกะหรี่ที่ข้าวเป็นข้าวห่อไข่อะค่ะ จานใหญ่มากกกกก สัมผัสได้ถึงความอ้วนล้วน ๆ เลย T.T แต่รสชาติก็โอเคอยู่นะคะ เป็นการผสมกันอะระหว่างข้าวแกงกะหรี่และข้าวห่อไข่ค่ะ

โดยส่วนตัวแล้ว ทานครั้งเดียวพอค่ะ ไม่ได้ชอบแกงกะหรี่เป็นการส่วนตัวด้วยประการนึงค่ะ

แล้วเราก็เดินไปต่อคิวรอขึ้นเรือกันค่ะ

หมอกลงจัดหนักมาก แทบมองไม่เห็นทัศนียภาพใด ๆ นอกไปจากเรือลำใหญ่เลย

บนเรือนั้น มีทั้งแบบ indoor และ outdoor ค่ะ แต่เพราะว่าฝนตก นักท่องเที่ยวก็เลยหลบอยู่แต่ในห้องโดยสารที่เป็น indoor กันหมดค่ะ

ระหว่างทาง เจอเรืออีกลำอยู่ไกล ๆ ดูแล้วเห็นแค่น้ำและเรือเลยค่ะ ไกลกว่านั้นไม่เห็นอะไรเลย เฮ้ออ…

พอใกล้ ๆ ถึงท่าเรือปลายทางแล้ว ก็เริ่มมีผู้คนออกมาถ่ายรูปด้านนอกกันบ้าง เคโกะก็เดินออกมาบ้างค่ะ เห็นเสาโทริอิสีแดงเด่นตระหง่านอยู่ด้วยค่ะ

ในที่สุด เราก็มาถึงปลายทางท่าเรือจนได้ แล้วก็เดินไปขึ้นรถบัสเพื่อกลับไป Hakone-Yumoto เช่นขามาค่ะ การเดินทางก็จะวนเป็นวงกลมอะนะคะ

มาถึงสถานี Hakone-Yumoto แล้ว เพื่อนก็เสนอว่าไปอัพเกรดตั๋วเป็น romance car กันดีกว่า จะได้กลับถึงโตเกียวไว ๆ ค่ะ แม้จะเป็นเดือนกุมภาพันธ์แล้ว แต่พอฝนตกแล้วก็อากาศก็หนาวลงมากทีเดียวค่ะ

ในการอัพเกรดตั๋วเป็น romance car นั้น เราต้องเพิ่มเงินอีก 1090Y ต่อคนค่ะ เค้าก็จะออกตั๋วที่นั่งมาให้อีกใบนึง แต่ตอนที่เราผ่านเกทเข้าสถานีไปก็ยังต้องใช้บัตรใบเดิมนะคะ

หน้าตารถไฟ Romance car ค่ะ ก็จะใช้เวลาน้อยกว่ารถไฟปกติ และที่นั่งเป็นแบบระบุที่นั่งค่ะ

โดยคร่าว ๆ ก็จะประมาณนี้ค่ะ เหมาะกับคนที่มาญี่ปุ่นครั้งแรกๆ และอยากดูฟูจิซังแบบเดินทางง่าย ๆ และสะดวกค่ะ ที่นี่ก็เป็นอีกช้อยส์นึงให้เลือกล่ะค่ะ

สงสัยตรงไหนสอบถามเพิ่มเติมได้ที่เพจนะคะ
https://www.facebook.com/thisiskeigo/

[Chiba] Tokyo Disneyland

สวัสดีค่ะ เห็นหัวข้อโพสต์แล้วก็คงยิ้มกันเลยนะคะ เคโกะมาเล่าเรื่องที่รู้กันดีอีกแล้วววววววววว ><“

Spot name : Tokyo Disneyland / 東京ディズニーランド
Google maps : https://goo.gl/maps/HxmTTE7m1LkPH31E7
Transportation : Take train to Maihama station
Entrance fee : 7,400Y [More detail : https://www.tokyodisneyresort.jp/en/ticket/index.html]
Opening hours : 8.00-22.00
Visited date : 18 Feb 2019
Website : https://www.tokyodisneyresort.jp/en/index.htm

โดยส่วนตัวแล้ว เคโกะเคยไป Tokyo Disneysea มาแล้วนะคะ ครั้งนี้ก็เลยขอไปแลนด์บ้างเนาะ (รีวิวที่เคยไป Disneysea มาก็ กดที่นี่ เลยค่ะ เก่ามากเลยอะ ><“)

เคโกะจองตั๋วล่วงหน้าผ่าน klook ค่ะ มีส่วนลด ก็ประหยัดไปหลายอยู่ แต่ข้อเสียก็คือ ต้องไปเอาตั๋วตัวจริงที่สถานี Maihama ค่ะ (ใน klook เค้ามีให้เลือกหลายแบบ ลอง ๆ ดูกันเองนะคะ) ซึ่งคิวที่ต่อเอาตั๋วตัวจริงนั้นก็ยาวมากทีเดียว แต่ในที่สุด เราก็ได้มาแล้ววววว

ตอนที่ไป เป็นปีที่ครบรอบ 35 ปีของ Tokyo Disneyland พอดีค่ะ จะมีการตกแต่งด้วย 35th year อะไรงี้อยู่รอบ ๆ เต็มไปหมดเลย

ได้ตั๋วแล้ว ก็ลุยโลดค่ะ

เข้ามาด้านในก็ยังเจอกับการฉลอง 35 ปีอยู่นะคะ

เคโกะขอไม่เจาะลงในเรื่องเครื่องเล่นนะคะ เพราะว่าไม่ได้ถ่ายรูปเครื่องเล่นมาค่ะ บวกกับจำไม่ได้อีกว่าเล่นอะไรไปบ้าง เรื่องนี้เคโกะยกให้เพื่อนอีกคนเป็นคนจัดการไปเลยค่ะ เดินตามไปเล่นด้วยอย่างเดียว ฮาาาาาา

เน้นเป็นการดูวิว ดูบรรยากาศรอบ ๆ ละกันเนาะ ^^”

สิ่งที่พลาดไม่ได้สำหรับใครหลาย ๆ คนที่จะมาถ่ายรูปก็คือตัวปราสาทค่ะ มีมุมถ่ายรูปหลายมุมเลย

ตรงนี้เป็นมุมด้านข้าง มีสัญลักษณ์กล้องถ่ายรูปอยู่ เลยเดาเอาเองว่าเป็นจุดให้ถ่ายรูปแล้วสวย มั้งนะ 555

หน้าตรงก็ได้ค่ะ ตรงนี้เป็นลานที่กว้างมากทีเดียว มีจัดแสดงโชว์ตอนกลางคืนด้วยนะ

มุมถ่ายรูปที่นี่ก็เยอะค่ะ เดินไปเดินมาก็จะเจอมุมถ่ายรูปอยู่เรื่อย ๆ เลย

ก็ว่าน่ารัก กดถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ ค่ะ แหะๆ

โชคดีว่าวันที่ไป อากาศแจ่มใส ออกจะแดดร้อนด้วยซ้ำไปค่ะ ซึ่งก็ดีกว่าฝนตกอะเนอะ

ช่วงบ่าย เราก็เจอกับพาเหรดค่ะ ด้วยความที่เราไม่ได้ตั้งใจดูพาเหรดแบบจริงจังชนิดที่ต้องมานั่งจองที่ล่วงหน้าเป็นชม.ๆ .. ซึ่งมีนะ มีคนมานั่งรอเป็นชั่วโมงๆเลยค่ะ เล่นเอางงกันไปว่าเค้ามานั่งพักเหนื่อยเหรอ มารู้ทีหลังว่าไม่ใช่ เค้ามานั่งรอดูพาเหรดกันค่ะ

รูปจากเคโกะก็เลยจะเป็นมุมกว้าง ๆ ไกล ๆ ที่มาจากด้านหลังเลยค่ะ T.T

มิคกี้เปิดหัวขบวนมาก่อนเลย
สโนว์ไวท์ก็มาค่ะ
น่าจะมาจากเรื่องอาลาดินนะคะ
คู่นี้เจ๋งสุดเลยอ่าาา ปีเตอร์แพนค่ะ เหาะโหนสลิงมาเลย ดูเผิน ๆ ดูไกล ๆ เหมือนลอยตัวในอากาศได้ค่ะ

มาดูเรื่องของกินบ้างดีกว่า

พวกเราไม่ได้เตรียมอะไรเข้าไปทานในสวนสนุกเลยนะคะ ก็หาซื้อทานกันที่นั่นแหละ

มื้อเที่ยงเราก็เป็นอาหารเซ็ทที่ฟู้ดคอร์ทในโซนตะวันตกอะค่ะ ถาดนี้เซ็ทของเคโกะ

เฉลี่ยคนนึงก็ตกประมาณพันกว่า ๆ เยนค่ะ รสชาติก็ใช้ได้นะ อร่อยอยู่ค่ะ

เดินไปไหนมาไหนก็จะเจอคนถือชูโรสสีม่วงแท่งยาว ๆ จนหลอน เคโกะก็เลยไปซื้อมาชิมบ้าง

สนนราคา 350Y ค่ะ หวานจัดมากทีเดียว ไม่ผ่านอย่างแรงค่ะ ><“

โค้กขวด กดมาจากตู้อัตโนมัติในสวนสนุกนั่นแหละ 200Y ค่ะ กดมาเพราะมีลาย 35ปี ดิสนีย์แลนด์ค่ะ ^^”

ปิดท้ายเรื่องของกินในดิสนีย์แลนด์ด้วยชุดอาหารเย็นของพวกเรา เพราะว่าอยู่กันจนดึกเลย ก็เลยต้องพ่วงข้าวเย็นเข้าไปด้วย ซื้อในโซนที่เป็นมิคกี้ไรพวกนั้นอะค่ะ ทำเบอร์เกอร์เป็นรูปมือมิคกี้ไรงี้ด้วย น่ารักและอร่อยด้วยค่ะ

ทั้งหมดนี่ 2470Y ค่ะ

แล้วก็มาต่อในส่วนของกลางคืนบ้าง ขอเริ่มที่พาเหรดตอนกลางคืนนะคะ พาเหรดตอนกลางคืนจะเน้นไปในทาง LED ซะเยอะ ประดับด้วยไฟทุกขบวนค่ะ และระหว่างพาเหรดก็จะปิดไฟตลอดทั้งเส้นทางเพื่อให้พาเหรดโดดเด่นขึ้นมาด้วยล่ะค่ะ

นางฟ้าของซินเปิดขบวนมาเลยค่ะ คนฮือฮากันมากเลย
ยักษ์อาละดินก็มา ตัวใหญ่ เท่และน่ารัก ผิดอิมเมจไปนิดนะ ฮาาาา
นางซินตัวจริงเนอะ
เหล่าโดนัลด์ ดั๊กค่ะ

ดูพาเหรดเสร็จ ก็เดินเร็ว ๆ ไปดูโชว์ต่ออีกที่นึง ซึ่งจัดอยู่หน้าปราสาท มีคนมารอล่วงหน้ากันเป็นชั่วโมงเช่นกันค่ะ

ตัวละครเอกจะเป็นมิกกี้เม้าส์ และจะมีการฉายไปบนปราสาทค่ะ เป็นโชว์ที่เก๋ แปลกตาดี และก็ทำออกมาได้ดีทีเดียวค่ะ

จุดที่เคโกะยืนอยู่และถ่ายมานั้น แย่มากค่ะ ดูรูปแล้วช่วยจินตนาการกันด้วยนะคะ T.T

ฉายภาพเรื่องราว ฉากต่าง ๆ ในการ์ตูนดิสนี่ย์ไปบนตัวปราสาท
ตอนท้ายมีจุดพลุนิดหน่อย พอให้ตื่นเต้นและตื่นตา
แต่พลุก็ไม่ได้เป็นรูปดอกไม้หรืออะไรที่สวย ๆ นะคะ พลุธรรมดา ๆ เลยค่ะ

จากนั้นเราก็เตรียมตัวเดินออกจากดิสนี่ย์แลนด์แล้วค่ะ แวะที่ร้านขายของฝากที่อยู่บริเวณทางเข้ากันก่อน ซึ่งเป็นร้านที่ใหญ่มาก ๆ ค่ะ รวมสินค้าทุกโซนไว้ที่นี่หมดเลยอะ

ระหว่างที่เพื่อนยังซื้อของไม่เสร็จ เคโกะออกมานอกร้านรอ ก็เห็นเค้าเปิดไฟว้อบแว้บชวนให้คิดว่ามีอีกโชว์หรือว้าาาาา แต่ก็คิดว่าไม่ใช่นะคะ

แล้วก็กลับกันจริง ๆ แล้วค่ะ ถ่ายรูปด้านหน้าอีกช็อตเป็นช็อตสุดท้ายก็บ๊ายบายกัน

สำหรับที่ Disneyland นี่ เคโกะว่าคงไม่ต้องแนะนำอะไรมั้งคะ 555 ถ้าให้แนะนำก็แค่เรื่องเวลาที่ใช้ในสวนสนุกค่ะ ยกให้ทั้งวันไปเลยค่ะ ไม่ต้องเผื่อไว้ไปที่นู่นที่นี่อีกนะคะ แค่ที่นี่วันเดียวก็หมดแล้วววววว ^^”

https://www.facebook.com/thisiskeigo/

[Kawasaki] Fujiko F Fujio Museum

สวัสดีค่ะ ใครที่ติดตามโพสต์ของเคโกะมาตลอดครบถ้วนทุกตอนคงจะแปลกใจไม่ใช่น้อยที่เอาเรื่องนี้มาพูดอีกแล้ว … ไม่นะคะ ไม่ได้เอาเรื่องเก่ามาเล่าใหม่น้าาา เค้าแค่ไปอีกรอบเท่านั้นเอ๊งงงงงง ><~

โพสต์เดิมค่ะ >> https://thisiskeigo.wordpress.com/2017/03/13/fujiko-f-fujio-museum/

Spot name : Fujiko F Fujio Museum / 藤子・F・不二雄 ミュージアム
Google maps : https://goo.gl/maps/WAViLqzzGWnz8jkz9
Transportation : Shuttle bus from Noborito Station or walk about 20-30 minutes
Entrance fee : 1000Y (advanced ticket only)
Opening hours : 10.00-18.00 (closed on Tuesday, year-end and new year holidays)
Visited date : 17 Feb 2019
Website : http://fujiko-museum.com/english/

เนื่องจากตั๋วที่จะเข้ามิวเซียมนี้จำเป็นต้องซื้อล่วงหน้าผ่านตู้ขายตั๋วอัตโนมัติ Loppi ใน Lawson เท่านั้น วันแรกที่เราไปถึงจึงต้องมองหา Lawson และพุ่งเข้าไปซื้อตั๋วก่อนเลยค่ะ

เวลาเข้าชมให้เลือก 4 ช่วงเวลาด้วยกันคือ 10.00, 12.00, 14.00 และ 16.00 ค่ะ จริง ๆ พวกเราอยากไปตั้งแต่เช้า แต่วันที่จะไปนั้นรอบเช้าเต็มไปแล้ว ก็เลยจำเป็นต้องเลือกรอบบ่าย 2 แทนค่ะ

ด้วยภาษาง่อนแง่นของเคโกะและความช่างสังเกตของเพื่อน จึงทำให้พวกเราสามารถกดซื้อตั๋วเองผ่านตู้อัตโนมัติได้เป็นที่สำเร็จเรียบร้อย เย้~

และด้วยความเกร็งจัดในการกดตั๋วผ่านตู้ เลยทำให้ไม่ได้ถ่ายรูปหน้าจอมาให้ดูกันนะคะ แหะๆ .. แต่ถ้าใครอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออก ก็สามารถแจ้งพนง.ลอว์สันให้ช่วยกดให้ได้ค่ะ (ที่ตู้มีแต่ภาษาญี่ปุ่นเท่านั้นน้าาา)

การเดินทาง มาได้ทั้ง JR และ Odakyu เลยนะคะ เลือกตามสะดวกเนาะ แล้วมาลงที่สถานี Noborito จากนั้นออกมาจากสถานี ก่อนที่จะเดินไปป้ายรถเมล์ เราก็สังเกตเห็นโดรามี่จังยืนตัวเล็กตัวน้อยอยู่ค่ะ

แล้วเราก็เลี้ยวซ้ายไปที่ป้ายรถเมล์ ก็จะมีป้ายรถเมล์เฉพาะสายของมิวเซียมอยู่ค่ะ ตอนที่เราไปถึง รถเมล์ก็จอดรออยู่แล้วพอดี

แต่ด้วยความที่อ่านรีวิวเจอว่า เค้าจะมีโมเดลโดราเอมอนอยู่ตามที่ต่าง ๆ ในเมืองระหว่างทางที่เดินไปมิวเซียมค่ะ เราก็เลยตกลงกันว่า “เดินไป”

เดินไปตามกูเกิ้ลแม็พตามเคย แต่ระหว่างทางนั้น ถามว่าเจอพี่ม่อนมั้ย .. เจอก็เหมือนไม่เจอค่ะ ออกจะเป็นรูปม่อนเบา ๆ ที่ประดับอยู่ตามราวสะพานข้ามแม่น้ำ ตรงขอบทางไรงี้ซะมากกว่า – -“

ระหว่างทางที่เดินไป ฟ้าใส อากาศดี ก็น่าเดินอยู่นะคะ T.T

เดินไปราว ๆ 5 ท้อใจ ในที่สุดพวกเราก็เดินมาถึงจนได้ค่ะ

แม้ว่าพวกเราจะมาถึงก่อนเวลาเข้าชม แต่ก็ยังเข้าไม่ได้นะคะ เค้าจะให้เข้าเป็นรอบ ๆ ตามเวลาที่กำหนดเท่านั้นค่ะ แล้วก่อนเวลาประมาณ 10-15 นาที เค้าก็จะให้ต่อแถวรอ เพราะจะปล่อยให้เข้าเป็นกลุ่ม ๆ ค่ะ เพื่ออธิบายกฎกติกาการเข้าชม และแลกเครื่องแฮนดี้ที่เอาไว้อธิบายจุดต่าง ๆ ที่จัดแสดงในมิวเซียมค่ะ

ระหว่างที่ยืนรอเวลาเข้าชม ก็มีรถบัสอีกคันมาจอดตรงหน้าพอดี ก็เลยรู้ว่ารถบัสมีหลายลายอยู่นะคะ

ด้านหน้าที่ต่อคิวเข้ามิวเซียม ก็มีอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กรี๊ดกร๊าดตามประสาที่ด้านหน้าก่อนทางเข้าด้วยค่ะ

ด้านในจะเป็นมิวเซียม เป็นห้องนิทรรศการจัดแสดงผลงานทั้งหมดของอาจารย์ Fujiko F Fujio ค่ะ เคโกะเองก็ทั้งอ่านและดูการ์ตูนเป็นประจำอยู่แล้วในวัยเยาว์ ก็เลยจะรู้จักผลงานของอาจารย์เป็นส่วนใหญ่เลยค่ะ ก็จะค่อนข้างอินและชอบมากทีเดียว

ซึ่งนิทรรศการที่จัดแสดงนั้น ส่วนของชั้นล่างนั้นเหมือนเดิมกับที่มาครั้งที่แล้วค่ะ แต่ที่เปลี่ยนไปคือในส่วนของชั้น 2 (ไม่ได้ถ่ายรูปมานะคะ เพราะมีส่วนที่ถ่ายได้และห้ามถ่ายรูปค่ะ ก็เลยไม่ถ่ายซะเลย)

แต่ในส่วนที่เคโกะว่าเจ๋งก็คือ ลานด้านนอกห้องนิทรรศการที่ชั้น 2 ค่ะ แต่เดิมเป็นลานโล่ง ๆ ไม่มีอะไร คราวนี้เค้าเอาบ้านจำลองของโนบิตะมาตั้งไว้ให้ชมกัน รวมถึงมีวางแท็บเบลตให้ส่อง AR ด้วย แล้วเราก็จะเห็นตัวละครมีชีวิต ขยับเคลื่อนไหวไปมาสั้น ๆ เหมือนมาอยู่ตรงหน้าเราเลยค่ะ กรี๊ดหนักมากกกกก

บ้านของโนบิตะค่ะ เด็กที่อยู่ด้านหน้ากำลังส่องห้องนอนโนบิตะอยู่นะคะ
ห้องดูทีวีของพ่อกับแม่โนบิตะค่ะ พอเห็นเป็นไอเดียเนาะว่าส่องแล้วจะมีภาพเคลื่อนไหวขึ้นมาให้เราดูค่ะ

จากนั้นเราก็ไปชมภาพยนตร์สั้นกันค่ะ ซึ่งคราวนี้เปลี่ยนเรื่องใหม่แล้ว ไม่ใช่เรื่องเดิมที่เคยดูเมื่อครั้งที่แล้วค่ะ

คราวนี้ตัวเอกเป็นโคโรสึเกะ จากเรื่อง “คิเตเรสึ เจ้าหนูนักประดิษฐ์” ค่ะ

พอได้เวลาก็ต่อแถวเข้าห้องชมภาพยนตร์กัน ส่วนใหญ่ก็จะมากันเป็นครอบครัวอะนะคะ ><“

ในภาพยนตร์สั้นที่ฉายให้ดูนั้น ไตเติ้ลเรื่องก็จะขนเอาตัวละครหลัก 5 ตัวของแต่ละเรื่องที่เป็นผลงานของอาจารย์มาให้ดูด้วยค่ะ ซึ่งดู ๆ ไปแล้ว เป็นแพทเทิร์นสำเร็จรูปมากเลยอะ 555

อีกสิ่งนึงที่เปลี่ยนไปก็คือ คราวนี้มีซับอังกฤษขึ้นให้อ่านแล้วค่ะ จากเดิมที่ไม่มีเลยนะ ต้องอาศัยดูรูปเอาหรือไม่ก็พอจะฟังภาษาญี่ปุ่นได้บ้างค่ะ

ส่วนเอาท์ดอร์ที่มีโมเดลจากการ์ตูนเรื่องต่าง ๆ ก็ยังคงมีเหมือนเดิมนะคะ

ตรงพี่ม่อนเนี่ย เป็นอะไรที่ฮอตฮิตมาก ๆ ไม่เคยเว้นจากผู้คนที่มาถ่ายด้วยเลย 555

ส่วนตู้กาชาปองก็ยังมีอยู่เหมือนเดิมนะคะ มาหยอดที่นี่คือดีสุด ไม่ต้องไปสอดส่องหาตามจุดต่าง ๆ ในญี่ปุ่นให้เมื่อยตาค่ะ หายากมากกกกกอะ

แล้วเราก็เข้าคาเฟ่กัน ซึ่งก็บ่ายมากแล้วค่ะ คิวยาวมากกกกกกก

ด้านหน้ามีเมนูให้เรายืนส่อง ยืนเลือกตามอัธยาศัย

พอถึงคิว ได้โต๊ะก็สั่งอาหารกันค่ะ

จานแรกมาก่อนใครเพื่อนคือเฟรนช์ฟราย ตัวนี้มาในเซ็ทอะค่ะ คู่กับน้ำสีฟ้า (ไอ้เราก็ลืมชื่อไปอี๊กกก 555)

ตามมาด้วยสปาเก็ตตี้ซอสมะเขือเทศ บอกเลยว่าแต่ละเมนูที่เลือกมานี่ ให้คนรักม่อนเค้ากรี๊ดอย่างเดียวเลยค่ะ ไม่ได้สั่งเพราะอยากกินเล้ยยย 555

มาพร้อมกับโคร็อกเกต หรือคร็อกเก้ ปั๊มลายโดราเอม่อนค่ะ

ช็อคโกแลตร้อน วาดลายโดราเอม่อนมา ตอนที่สั่งก็ถามคุณพนง.ว่าเลือกลายเองได้มั้ย เค้าบอกว่าไม่ได้ค่ะ แล้วแต่เชฟทำให้ แต่เราก็ได้ม่อนมา มีแต้มบุญกะเค้าสินะ กรี๊ดดดดด

อีกแก้วน่าจะเป็นกาแฟร้อนของเพื่อนค่ะ วาดลายม่อนแบบ 3D มา น่ารักไปอีกแบบ กรี๊ดดดดดด

ปิดท้ายที่น้ำสีฟ้า (ที่ลืมชื่อนั่นแหละ) มีแก้วพร้อมพร็อพเก๋ ๆ ใส่หลอดมาให้ เวลาเราดูดก็จะมีหน้าแมว (แบบหนวดม่อนอะค่ะ) อยู่ตรงหน้าเราพอดี เกร๋ๆ~

ค่าความเสียหายมื้อนี้ทั้งหมดก็ 3400Y ค่ะ ส่วนเรื่องรสชาติ เคโกะว่าอาหารอะเฉย ๆ นะ ช็อคโกแลตร้อนคือดีค่ะ ไม่หวานไป ส่วนน้ำสีฟ้านั้น ไม่มีแอลกอฮอล์นะคะ เด็ก ๆ ทานได้ค่ะ ^^

แต่ถามว่าพอมั้ย ตอบเลยว่าไม่ค่ะ

เดินไปซื้อขนมลายพี่ม่อนมากินอีก 2 ชิ้น เป็นไทยากิ กับโดรายากิ ค่ะ

2 ชิ้นนี้ จะขายอยู่ที่ร้านที่อยู่ด้านหลังคาเฟ่ ติด ๆ กับลานเอาท์ดอร์ที่มีพี่ม่อนยืนอยู่ค่ะ สนนราคารวม 360 บาท ส่วนรสชาติก็มาตรฐานขนมญี่ปุนนะ หอม หวาน แป้งนิ่ม ชอบหวานก็จัดได้ค่ะ

ส่วนขากลับ เรากลับรถบัสกันนะคะ ไม่เดินแล้วววววว 5555 ค่ารถบัสต่อเที่ยวต่อคนอยู่ที่ 210Y ค่ะ ขึ้นรถที่หน้ามิวเซียมได้เลยค่ะ รถก็จะมาส่งที่สถานี Noborito ที่ป้ายรถเมล์หน้าสถานีเลยค่ะ

ถ้าไม่ใช่แฟนผลงานของอาจารย์ Fujiko F Fujio แต่รักโดราเอมอน เคโกะว่าก็คุ้มค่ากับการมาเยี่ยมชมค่ะ แต่ถ้ารู้จักการ์ตูนที่เป็นผลงานของอาจารย์หลายเรื่อง ก็จะอินหน่อยนะ ^^

https://www.facebook.com/thisiskeigo/

[Tokyo] Sensoji Temple

สวัสดีค่ะ ต่อกันอีกนิดหน่อยกับญี่ปุ่นเนอะ เล่าเรื่องที่ใคร ๆ ก็รู้กันอยู่แล้วดีกว่า 555

Spot name : Sensoji Temple / 浅草寺
Google maps : https://goo.gl/maps/XVFcy7wAzeS55vSK7
Transportation : Asakusa station, on the left hand side
Entrance fee : Free
Opening hours : 6.00-17.00 (6.30-17.00 during Oct-Mar) for main hall but always open for temple grounds
Visited date : 16 Feb 2019

โดยส่วนตัว เคยไปมาแล้วนะคะ อ่านความเดิมเมื่อนานมาแล้วได้ที่นี่ค่ะ

วันนั้นเราลงจากเครื่อง ไปเก็บกระเป๋าที่โรงแรม แล้วก็ดิ่งไปที่วัดเลยค่ะ เพราะก็ไม่ได้ไกลกันมากเท่าไหร่ ไปถึงก่อน 5 โมงนิดหน่อย ก็เลยรีบเดินไป เพราะกลัวว่าจะวัดจะปิดก่อน แต่พอเดินไปถึง ก็ปิดซะแล้วค่ะ อดเลย~ ก็เลยได้แต่เดินเล่นอยู่ด้านล่าง รอบ ๆ วัดและตลาดถนนคนเดินด้านหน้าวัดค่ะ

ประตูด้านหน้า โคมไฟแดงอันใหญ่ที่เป็นเอกลักษณ์ของวัดแห่งนี้ค่ะ

เดินผ่านประตูเข้ามา ก็ยังไม่เอะใจว่าวัดจะปิดแล้วน้าาาา รีบก่อนมั้ยยยยยย – -“

เคโกะยังสาละวนกับการถ่ายรูปรอบ ๆ อยู่ เพื่อนคนนึงที่เดินนำลิ่ว ๆ ไปแล้วก็เดินกลับบอกว่า “วัดปิดแล้ว” .. ฮรึกกก T____T

ก็เลยหันไปถ่ายรูปเล่นกันต่อ 555

แล้วก็ไปเสี่ยงเซียมซีกันค่ะ ถ้าจำไม่ผิด ครั้งนึงก็จะประมาณ 100-200 เยนนะคะ

วิธีการก็คือ หยอดเหรียญลงไปในช่องหยอดเหรียญก่อน แล้วหยิบกระบอกเซียมซีขึ้นมาถือ แล้วเขย่า ๆ ให้ก้านไม้ออกมา 1 แท่ง ถ้าหล่นหลายแท่ง เอาแท่งแรกค่ะ และในระหว่างเขย่าเซียมซีนั้น ให้อธิษฐานถามเรื่องที่อยากถาม หรือขอพรไปด้วยค่ะ พอได้เบอร์ที่อยู่บนแท่งไม้แล้ว ก็เดินตามหาเบอร์บนตู้เล็ก ๆ ที่วางกระดาษทำนายเซียมซีอยู่ตรงนั้นแหละ

บนแท่งไม้จะเขียนเป็นตัวเลขภาษาญี่ปุ่น ถ้าไม่รู้ภาษาก็เอาไปเทียบเลยค่ะ ><” ไม่รู้จะช่วยยังไงนะ จริงๆ

พอได้ใบมาแล้ว ถ้าได้ใบดีก็ให้เก็บไว้กับตัวค่ะ แต่ถ้าได้ใบที่ไม่ดี ก็เอาใบนั้นไปผูกไว้ที่ราวลวดที่ทางวัดเตรียมไว้ให้ที่เค้าผูกกันเยอะ ๆ หรือไม่ก็กิ่งไม้ (ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะไปผูกที่ราวลวดที่ทางวัดเตรียมไว้ให้นั่นแหละ) เป็นอุปมาว่าขอฝากดวงชะตาที่ไม่ดีทิ้งไว้กับวัดให้บำบัดปัดเป่าให้ร้ายกลายเป็นดี ประมาณนี้ค่ะ

เคโกะเอาตัวอย่างของตัวเองมาให้ดูนะว่านี่คือตัวอย่างของใบที่ไม่ดีค่ะ 5555

ไม่อยากบอกเลยว่าเป๊ะปังเวอร์มาก เคโกะถามคำถามตอนเขย่าเซียมซีไปด้วยค่ะ และได้คำตอบมาอย่างเป๊ะเลย T.T

เคโกะขอแนะนำการดูใบทำนายแบบง่ายสุด ๆ เผื่อใครที่ยังไม่ทราบก็แล้วกันนะคะ

ในด้านบนหัวกระดาษจะมีเขียนแบบสรุปว่าดีหรือไม่ดี พร้อมด้วยเบอร์ของเซียมซีเป็นภาษาญี่ปุ่นค่ะ (ดูตรงวงกลมแดงที่เคโกะวงให้อะค่ะ)

大凶 = ไม่ดีอย่างมาก
凶 = ไม่ดี
吉 = ดี
大吉 = ดีมาก
** เคโกะลืมไปแล้วนะคะว่าธรรมดา ๆ กลาง ๆ เนี่ย มีมั้ยแล้วใช้คำว่าอะไรค่ะ แหะๆ

เห็นด้านหน้าเป็นภาษาญี่ปุ่นเต็มพรืดไปหมด ก็ไม่ต้องตกใจค่ะ ด้านหลังมีคำอธิบายภาษาอังกฤษให้ด้วยนะ

จากนั้นเราก็ออกไปเดินกินขนมที่ถนนคนเดินด้านหน้าวัดกันค่ะ

ร้านแรกกับโมจิที่คนต่อคิวเยอะมากกกกกกกกกกกกก

เค้าเรียกว่ามันจูนะคะ เลือกกันมาคนละชิ้นคนละไส้มาชิมกันดูเฉย ๆ ค่ะ เพราะเห็นคิวยาวเหลือเกิน

3 ชิ้นนี้ราคาไม่เท่ากันแต่ละชิ้นนะคะ รวม 3 ชิ้นราคา 530เยนค่ะ รสชาติเฉย ๆ ค่ะ

ดูบรรยากาศตอนค่ำของบริเวณนี้บ้าง

คนเยอะมากจริง ๆ ค่ะ ครั้งที่แล้วเคโกะมาช่วงเช้ามั้งนะ คนบางตากว่านี้เยอะเลยค่ะ (แต่มันก็หลายปีแล้วนะเธอ – -“)

มาชิมเซมเบ้หรือข้าวเกรียบต่อกันอีกซักร้านค่ะ มีให้เลือก 3 แบบ เป็นเซมเบ้สดด้วย คือทำกันสด ๆ ร้อน ๆ ตรงนั้นเลยค่ะ ก็เลยลองสักหน่อย

จริง ๆ เราสั่งแค่ 3 ชิ้นแต่แม่ค้าฟังผิด เลยได้มา 4 ชิ้นค่ะ

สามชิ้นนี้ลืมจดราคาเป๊ะ ๆ มา น่าจะประมาณ 300 เยนค่ะ รสชาติก็เซมเบ้ทั่วไปนั่นแหละ แต่ตัวที่แย่สุดคือเซมเบ้โชยุค่ะ คือเซมเบ้เองก็เค็มในตัวอยู่แล้ว แล้วราดโชยุอีก กรี๊ดดดด จะให้เค็มไปไหน ><“

ปิดท้ายที่โคมไฟแดงด้านหน้าวัด ประตูนอกสุดค่ะ ก่อนที่เราจะมูฟไปที่อื่นต่อ

ก็เป็นวัดที่ใครมาโตเกียวครั้งแรกก็ควรมาแหละค่ะ ค่อนข้างจะเป็นอะไรที่แนะนำกันสุด ๆ แล้ว แต่เคโกะก็ขอแนะนำต่อไปอีกหน่อยว่า เดินชิมขนมบนถนนหน้าวัดนี้ไปเรื่อย ๆ ได้เลยค่ะ มีขนมทานเล่นเยอะเหมือนกัน

แล้วเจอกันโพสต์หน้าค่ะ
https://www.facebook.com/thisiskeigo/