[Tokyo] Doraemon Future Department Store

สวัสดีค่ะ มีคนเคยบอกเอาไว้ว่าถ้าให้เดินโอไดบะวันเดียวก็ไม่หมด หรือปล่อยไว้ในห้างก็อยู่ได้เป็นวัน ๆ เคโกะฟังแล้วก็ไม่เคยเชื่อค่ะ จนกระทั่งมาเจอกับตัวเองนี่แหละ 555

Spot name : Doraemon Future Department Store
Location : Odaiba, Tokyo
Google maps : https://goo.gl/maps/xMrRbxKt815qWdpG6
Entrance fee : free
Opening hours : 10AM-9PM
Visited date : 27 Dec 2019
Website : https://mirai.dora-world.com/

การเดินทางนั้นก็ใช้รถไฟฟ้ามาที่ห้าง Divercity ค่ะ สถานีที่ใกล้ที่สุดก็จะเป็น Daiba (Yurikamome line) หรือ Tokyo Teleport Station (Rinkai line) ค่ะ

แล้วเดินไปที่ชั้น 2 ซึ่งก็มีป้ายบอกทางอยู่นะ แต่ก็ไม่ได้บอกอะไรละเอียดขนาดนั้นอะค่ะ

เดิน ๆ ไปก็เจอแบ็คดร็อปอันนี้ น่ารักกกกก

เดินหาจนเจอแล้วก็พบว่า คนเยอะมากจริง ๆ

หน้าร้านก็จะมีพี่ม่อนยืนคอยต้อนรับอยู่

ตัวร้านก็จะแบ่งเป็น 2 โซนใหญ่ ๆ ค่ะ คือโซนกิจกรรม มีเกมให้เล่น และอีกโซนนึงก็คือร้านค้าขายของที่ระลึกอย่างเดียวเลย ซึ่งมีของหลากหลายมาก ๆ ตั้งแต่ของใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไป ขนม สแน็ค เสื้อผ้า และของสะสมเลยค่ะ

ด้านหน้าทางเข้าของโซนเครื่องเล่น ก็จะมีป้ายอธิบายอยู่ประมาณนี้

ถ้าจำไม่ผิด จะมีของเล่นให้เล่นอยู่ 3 สิ่งค่ะ ซึ่งเราต้องซื้อเหรียญนี่ก่อนถึงจะเล่นได้ และเหรียญนี่ก็กดซื้อได้ที่ตู้ด้านหน้าทางเข้านี่แหละค่ะ โดยที่ราคาก็จะตามป้ายเลยคือ 1 เหรียญ 350Y แต่ถ้าซื้อ 3 เหรียญก็แค่ 1000Y เท่านั้นนนน

ให้ดูหน้าตาของเหรียญค่ะ เคโกะหยอดมา 2 เหรียญ ของพี่คนนึงที่ไปด้วยกันและของเพื่อนที่ฝากหยอดตามประสาคนชอบและสะสม

บรรยากาศภายในโซนของเล่นที่ว่าค่ะ

มุมของเล่นมุมแรกเลย เข้าประตูมาก็เจอเลยค่ะ

แล้วก็อีกตัวนึง

ส่วนอีกเครื่องเล่นนึง ถ่ายมานะ แต่มือถือเอ๋อพอดีค่ะ ภาพเบลอชนิดที่ออกสื่อไม่ได้เลยอะ T.T

แต่ทั้งนี้ก็มีของเล่นตัวนึงที่เล่นฟรีค่ะ

มันก็คือประตูไปที่ไหนก็ได้ค่ะ ว่ากันตามตรงก็คือ คล้าย ๆ Siri ของแอปเปิ้ลอะค่ะ ให้เราพูดชื่อสถานที่ที่เราอยากไป แล้วก็เปิดประตูออก ก็จะเป็นภาพสถานที่นั้น ๆ

ถามว่าเคโกะลองมั้ย จะเหลือรึคะ .. จัดไปด้วยทักษะญี่ปุ่นที่อ่อนด้อยล้วน ๆ 5555 (เค้ามีหลายภาษาให้เลือกก่อนเล่นนะ แต่เคโกะอยากลองด้วยภาษาญี่ปุ่นง่อย ๆ ของตัวเองไง 55)

ผลที่ได้ก็คืออออ…

ประโยคแรก เค้าให้เราบอกชื่อสถานที่ที่อยากไปค่ะ เคโกะตอบว่า “กรุงเทพ” (バンコク) แต่น่าจะออกเสียงผิด หรือฟังผิดนี่ล่ะค่ะ ก็เลยถามย้ำให้เราคอนเฟิร์มว่าใช่มั้ย เคโกะเลยพูดกรุงเทพซ้ำไปอีกครั้ง หลังจากที่คอมให้เราคอนเฟิร์มแล้วก็ตอบว่า “ใช่” (はい) ไป คอมก็จะบอกเราว่า “เข้าใจแล้ว รอแป๊บนะ”

แต่ตอนนั้นเข้าใจว่าระบบคอมหลังบ้านเอ๋อค่ะ ต่อให้คอมบอกว่าไปได้ ก็เปิดประตูออกไม่ได้อยู่ดี ไรงี้ค่ะ คนน่าจะเล่นเยอะนะ ก็มีความผิดพลาดกันบ้างค่ะ 5555

ส่วนในโซนที่เป็นร้านค้าขายของที่ระลึกนั้น ไม่ได้ถ่ายรูปมานะคะ แต่ของเยอะมากกกกก และคนต่อคิวชำระสินค้าก็เยอะมาก ๆ ด้วยค่ะ

มาสั้น ๆ แค่นี้ก่อนนะคะ โพสต์หน้าโพสต์สุดท้ายของทริปญี่ปุ่นแล้วค่ะ
https://web.facebook.com/thisiskeigo

[Tokyo] Yanaka Ginza + Sugamo Jizo-dori

สวัสดีค่ะ ยังอยู่กันที่ญี่ปุ่นอยู่น้าาาา และเพราะมาญี่ปุ่นหลายรอบมาก โดยเฉพาะโตเกียว เลยพยายามหาที่ที่ยังไม่เคยไป แล้วก็เลยมาเจอกับ walking street เข้า ซึ่งถูกจริตเคโกะที่ชอบเดินดูของและกินหนมไปด้วย ก็เลยต้องจัดค่ะ

จริง ๆ แล้วเป้าหมายนึงของเคโกะคือตลาดผ้าที่ Nippori หรือ Nippori Fabric Town นะ แต่ดูเหมือนว่าเคโกะจะมาผิดวันค่ะ ฮาาาาา

ไม่เป็นไร ก็จะลงรูปให้ดูเป็นแนวคร่าว ๆ เนาะ เผื่อใครสนใจก็ไปให้ถูกวันนะค้าาา 555

Spot name : Nippori Fabric Town/Nippori Textile Town
Location : Nippori, Tokyo
Google maps : https://goo.gl/maps/3q7jaVhA1mKMXnBE6
Entrance fee : free
Opening hours : 10.00-18.00 on Mon-Wed, Fri-Sat/8.00-18.00 on Thu/Closed on Sun
Visited date : 29 Dec 2019

ถ้าใครไปแอบดูปฏิทินดูก็จะเห็นว่าวันที่เคโกะไปน่ะเป็นวันอาทิตย์ 5555555 (หัวเราะเยาะตัวเองได้ นักเลงพอ 555)

จริง ๆ เคโกะมีเวลาหาข้อมูลน้อยค่ะ แล้วก็ไปเจอข้อมูลจากไหนมาไม่ทราบว่าวันอาทิตย์ก็เปิดนะ แต่เปิดน้อยไรงี้ ไอ้เราก็แบบ เออ ๆ ก็ว่างแค่วันอาทิตย์อ่ะ ก็ลองไปดูแล้วกันไรงี้ค่ะ

การเดินทาง นั่งรถไฟน่าจะสะดวกสุดค่ะไปลงที่สถานี Nippori แล้วออกตามป้ายบอกเลย คือ East exit ค่ะ แล้วเดินไปตามทาง มีป้ายบอกตลอดทางเลยค่ะ ไม่หลงแน่นอน

เดินใกล้ ๆ ถึงแล้วก็เอะใจละว่าดูเงียบผิดปกติ เพราะเท่าที่ดูรีวิวมา คือจะครึกครื้นเลยค่ะ มีของขายหน้าร้าน วางขายเยอะ ๆ คนเยอะ ๆ ไรงี้ แต่นี่คือเงียบกริบเลยอะ 5555

เดินได้นิดก็รู้แล้วค่ะ ร้านปิดวันอาทิตย์กัน ไม่ต้องมาวันอาทิตย์นะคะ

ว่างเปล่า โล่งสนิทเลยมั้ยล่ะ 555

คือร้านที่เปิดก็มีนะคะ แต่น้อยมากกกกกกกกกกค่ะ ไม่ควรมาวันอาทิตย์เป็นอย่างยิ่งค่ะ และบวกกับเคโกะไปช่วงใกล้ ๆ ปีใหม่อีก บางร้านก็ฉวยโอกาสหยุดยาวไปเลยค่ะ

5555 โอ๊ยยย ชั้นมาทำอะไรที่นี่~

ร้านนี้ชัดเจนค่ะว่าปิดวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ป้ายบอกหน้าร้านเลย

เอาล่ะ พลาดไปแล้ว ก็เลยเปลี่ยนเป้าหมายด่วน ๆ ค่ะ

ที่สถานี Nippori นี้ นอกจากจะมีตลาดผ้าแล้ว ก็ยังมีถนนช้อปปิ้งอีกด้วย ก็ย้อนกลับไปเดินเล่นกันดีกว่าค่ะ

Spot name : Yanaka Ginza
Location : Nippori, Tokyo
Google maps : https://goo.gl/maps/j9KMW7fe15XQpSLx7
Entrance fee : free
Opening hours : N/A (up to each store)
Visited date : 29 Dec 2019
Website : https://www.yanakaginza.com/

เดินย้อนกลับไปที่สถานี Nippori แล้วก็ไปทาง West exit ค่ะ เดินไปเรื่อย ๆ ตามทางเลยก็จะเจอกับ Yanaka Ginza ซึ่งเป็นเหมือน Walking street ความยาวไม่ยาวมากนักค่ะ เค้าว่ากันว่าที่นี่น่าจะเป็นที่ชื่นชอบของทาสแมว เพราะมีแมวเป็นกิมมิคค่ะ แล้วก็มีนุ้งแมวมาอวดโฉมให้ทาสแมวกรี๊ด ๆ ด้วยล่ะ แต่เคโกะเดินไม่เจอเลยซักตัวนะคะ

เดินมาเจองี้ก็ถูกทางแล้วค่ะ เดินตรงไปอีกนิด ก็จะเจอกับขั้นบันไดลงไปด้านล่าง

เริ่มมีความน่ารักมาให้กรี๊ดกร๊าดตามประสาทาสแมวแล้วค่ะ

ลักษณะก็จะเป็นตรอกเล็ก ๆ แคบ ๆ มีร้านค้าสองข้างทาง ซึ่งมีทั้งของทานเล่น ร้านอาหารและร้านค้าข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ เสื้อผ้าไรงี้ค่ะ

แล้วเราก็มาตะลุยหาของกินกันค่ะ

เริ่มที่ร้านนี้ ขายของทอด ๆ คนแน่นมากกกกกค่ะ ถ้าจำไม่ผิดจะขายมีทั้งราคาเป็นชิ้นกับตามน้ำหนักค่ะ

เคโกะก็เลือก ๆ มาสองสามอย่างนะ อย่างละนิดละหน่อย รวม ๆ กัน 270Y ค่ะ

ถามว่าอร่อยมั้ย คือ … ถ้าทอดมาร้อน ๆ ก็อร่อยดีอยู่หรอกค่ะ แต่บางอย่างก็วางไว้ซักพักแล้ว และอากาศหนาวเนาะ อาหารก็เย็นเร็วค่ะ แล้วก็มาแต่ละอย่างคือไม่หั่นเลย ใช้ความสามารถตัวเองในการกัดเคี้ยวล้วน ๆ ถ้าฟันดี ๆ ก็โอเคค่ะ แต่เคโกะฟันบิ่นนะ ทำให้กัดแบ่งเป็นคำ ๆ ยากมากค่ะ ไม่โอเคตรงนี้ (สาเหตุฟันบิ่นไปหาอ่านตอนที่ไปสิงคโปร์เมื่อปีก่อนนู้นนะคะ ฮ่าๆ)

เดินไปจนเกือบสุดซอย สังเกตเห็นว่าเนื้อสับทอดเป็นอะไรที่ฮิตมาก ขายอยู่หลายร้าน ก็อย่างกระนั้นกระนี้เลยค่ะ ซื้อมาชิมซักอันซิ ราคา 250Y ค่ะ เป็นเนื้อสับนะ

ร้านที่ซื้อก็ตามแบ็คกราวน์ที่เบลอ ๆ นั่นแหละค่ะ ฮาาาาาา …

รสชาติคือเนื้อสับปั้นเป็นก้อนแล้วเอาไปทอด ร้านนี้ดีหน่อย ยังพอร้อน ๆ อยู่ ก็จะได้ความกรุบกรอบภายนอก และรสชาติเนื้อสับอร่อย ๆ ด้านในค่ะ เค้ามีขายหลายแบบนะคะ

ต่อมา ก็ไปจัดแพนเค้กนุ้งแมวมา เป็นแพนเค้กไส้ขาเขียว … เค้าเรียกขนมแบบนี้ว่าอะไรนะคะ เคโกะก็นึกไม่ออกอะ แง้~

คล้าย ๆ ไทยากิ แต่ไม่ใช่ค่ะ เนื้อสัมผัสแป้งคือแพนเค้กเลย แต่เป็นแพนเค้กที่มีไส้ T.T

หมดความสามารถอธิบายให้เห็นภาพแต่เพียงเท่านี้ T.T

คือถ้าเคยไปไต้หวันและรู้จักขนมแนวนี้บ้าง มันคือ 车轮饼 (เชอหลุนปิ่ง) อะค่ะ –ก็ยังมีความพยายามจะอธิบายอยู่ T.T

ราคาค่าตัวนุ้งแมวไส้ชาเขียวนี้ 200Y ค่ะ กินแรก ๆ ก็อร่อยดี แต่กินให้หมดแล้วจะรู้สึกแอบเลี่ยนหน่อย ๆ รสชาเขียวคือดีเลยนะคะ ชาเขียวเจ้มจ้นมาก นอกจากนี้มีไส้อื่น ๆ ด้วยค่ะ อยากชิมไส้อื่นอีก แต่คิดว่าไม่ไหว เลยอันเดียวพอค่ะ

ต่อมา เรายังอยู่กับความกิมมิคแมว ๆ ก็ไปจัดโดนัทหางแมวมาอีกที่ร้านนี้ค่ะ เค้ามีป้ายให้ดูเลยว่าเมนูเค้ามีอะไรบ้าง แต่เป็นโดนัทหางแมว ทรงเดียวค่ะ

(ดูออกมั้ยว่าเคโกะกินของทอดต้นซอย แล้วเดินผ่านไปจนท้ายซอย แล้วไล่ของกินจากท้ายซอยขึ้นมาใหม่ค่ะ ร้านโดนัทหางแมวอยู่ติดกับร้านของทอดที่เคโกะกินเป็นร้านแรกสุดนั่นอะค่ะ ฮ่าๆ)

เคโกะเลือกตัวนี้มา เป็นช็อคโกแลตแบบทางม้าลาย ราคาน่ารัก 130Y ค่ะ รสชาตินั้น ช็อคโกแลตเข้มข้นดีมากค่ะ อร่อยเลยแหละ สายโดนัทและทาสแมวไม่ควรพลาดค่ะ

กินเยอะมากเลยเนอะ 555

อิ่มแล้วก็ขยับตัวไปที่อื่นต่อค่ะ

Spot name : Sugamo Jizo-dori/Sugamo Jizodori Shopping Street
Location : Sugamo, Tokyo
Google maps : https://goo.gl/maps/NVHRYUTf44HYM6YCA
Entrance fee : free
Opening hours : N/A (up to each store)
Visited date : 29 Dec 2019
Website : https://sugamo.or.jp/

เคโกะนั่งรถไฟต่อมาลงที่สถานี Sugamo นะคะ ออกจากสถานีมาแล้วก็ข้ามถนนเดินต่อไปอีกนิดนึงก็จะถึงถนนช้อปปิ้งเส้นนี้แล้วค่ะ

Sugamo Jizo-dori นี้ได้ชื่อว่าเป็นถนนสายฮาราจูกุของรุ่นคุณย่าคุณยายค่ะ คล้าย ๆ กับเป็นถนนสายแฟชั่นในอดีตไรงี้นะคะ

สิ่งนึงที่เด่นมากของถนนสายนี้ก็คือ ร้านชั้นในสีแดงค่ะ

เท่าที่ทราบข้อมูลมาก็คือ คนสมัยก่อนเค้ามีความเชื่อกันว่าถ้าใส่ชั้นในสีแดงก็จะทำให้โชคดีและอายุยืนค่ะ เท่าที่เคโกะไปตระเวณญี่ปุ่นมานะ ก็ไม่เคยเห็นร้านแบบนี้ที่ไหนนอกจากที่นี่เลยค่ะ ^^”

เข้าไปวน ๆ ในร้านมาเหมือนกันนะ มีหลายหลายไซส์มากค่ะ และพัฒนาไปถึงว่ามีเสื้อบังทรง เสื้อชั้นในแบบคุณยาย กางเกงในมีลายตามปีนักษัตรไรงี้ด้วยค่ะ .. มีปีเคโกะด้วยนะ ยืนลังเลอยู่ว่าจะเอาดีไหม แต่ไม่ดีกว่าค่ะ ไม่ชอบสีแดงเป็นการส่วนตัวอะ ฮาาาาา

อีกอย่างนึงที่เด่นมากบนถนนสายนี้ก็คือน้องเป็ดค่ะ น้องเป็ดมีชื่อด้วยนะ ชื่อซูกะมง (Zugamon) เป็นกิมมิคน่ารัก ๆ ของถนนเส้นนี้ค่ะ เราจะเจอน้อลอยู่ทุกที่เลย เห็นเค้าว่ามีก้นเป็ดตัวใหญ่ให้จับด้วยนะ แต่เคโกะหาไม่เจอค่ะ

เดินบนนถนนสายนี้ จะเจอวัดนึงที่ชื่อว่า Koganji Temple ค่ะ เข้าไปไหว้พระกันค่ะ

เข้ามาด้านในแล้วจะเจอกระถางธูปใหญ่สะดุดตามากค่ะ

วัดแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นวัดที่ดังในด้านการขอพรให้สุขภาพแข็งแรงค่ะ ด้วยการอาบน้ำให้พระพุทธรูปที่อยู่ด้านข้างของตัวอาคาร

มีชื่อเสียงมากขนาดที่มีคนมาต่อแถวยาวมากค่ะ

วิธีการก็คือ เราต้องเอาผ้าสะอาดไปด้วยค่ะ แล้วจะวักน้ำ (มีกระบวยตักน้ำให้) ไปรดองค์พระแล้วใช้ผ้าทำความสะอาด หรือจะชุบน้ำให้ผ้าเปียกแล้วเช็ดองค์พระก็ได้ค่ะ

ถ้าไม่มีผ้าก็ซื้อเอาค่ะ มีขายทุกร้านที่อยู่ในวัดเลย 5555 ราคา 100Y เท่านั้นค่ะ

ถามเคโกะว่าจะพลาดมั้ย เด็กขี้โรคอย่างเคโกะมีเหรอจะไม่พลาด … แหะๆ

เสร็จสรรพแล้วอย่าเพิ่งไปไหนค่ะ มาลองชิมดังโหงะข้าง ๆ ก่อน เป็นดังโหงะเกลือ ไม้ละ 100Y ค่ะ ยืนทานเสร็จแล้วหย่อยไม้ที่ใช้แล้วลงกล่องที่หน้าร้านได้เลย

เคโกะอยากได้ถุงเครื่องรางด้วยนะ แต่ภาษาญี่ปุ่นก็อ่อนแอเหลือเกิน .. ไว้หลอกเซนเซไปด้วยได้ก่อนนะ จะไม่พลาดค่ะ ฮาาาาา

นอกจากวัดนี้แล้ว หากเดินไปจนสุดถนนสายนี้ ตรงสี่แยกถนน เลี้ยวขวานิดหน่อย ก็จะเจอศาลเจ้าอีกแห่งนึงค่ะ ผู้คนนิยมไปกราบไหว้เช่นกัน

ศาลเจ้าแห่งนี้ก็คือ Sugamo Sarutahiko Koshindo ค่ะ

สิ่งที่โดดเด่นของศาลเจ้าแห่งนี้ก็อย่างที่เห็นในรูปด้านบนค่ะ เป็นรูปปั้นลิง และมีลิงปิดตา ปิดหู ปิดปาก ปิดการรับรู้สามอย่างที่เรา ๆ น่าจะคุ้นเคยกันดีค่ะ

จากนั้นเดินกลับมาทางเดิม ซึ่งต้นถนนสายนี้ ก็ยังมีวัดอีกแห่งนึงอีกนะคะ ชื่อว่า Shinshoji Temple ค่ะ

เคโกะก็เข้าไปไหว้พระนิดหน่อยก่อนกลับนะคะ

จริง ๆ แล้วเท่าที่ได้ข้อมูลมา บนถนนสายนี้ยังมีอย่างอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีก เช่น ผักดองสไตล์ญี่ปุ่น ขนมเซมเบ้ ไรงี้ค่ะ ซึ่งเคโกะไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ เลยเดินผ่าน ๆ ไปนะคะ

ช่วงนี้ก็ดูแลตัวเองกันด้วยนะคะ แล้วเจอกันในโพสต์หน้า ยังอยู่ที่ญี่ปุ่นอยู่ค่ะ แหะๆ
https://web.facebook.com/thisiskeigo

[Yamanashi] Kawaguchi-ko

สวัสดีค่ะ วกออกมานอกไต้หวันแป๊บนะคะ เดี๋ยวค่อยวนกลับไปใหม่ ฮาาาาา

โพสต์นี้พาไปเที่ยวรอบทะเลสาบคาวากุจิโกะ สถานที่ยอดฮิตอีกที่นึงของคนไทยที่ไปญี่ปุ่นเลยค่ะ

Spot name: Kawaguchi-ko
Location: Yamanashi, Japan
Visited date: 25-26 Dec 2019

เคโกะขอเล่าการเดินทางตั้งแต่สนามบินเลยนะคะ เพราะแพลนของเคโกะคือบินลงสนามบินปุ๊บ ก็จะมุ่งหน้าไปที่ Kawaguchiko เพื่อตามไปสมทบกับพี่ ๆ ร่วมทริปอีก 2 คนที่เค้าเดินทางไปรออยู่ล่วงหน้าแล้วค่ะ

จากสนามบินนาริตะ มีรถบัสไดเร็กไปที่คาวากุจิโกะเลยค่ะ ของบ. keisei ซึ่งมีวันละ 2 รอบค่ะ ราคาเที่ยวละ 4800Y สามารถซื้อได้ที่เคาน์เตอร์ของรถบัส keisei ที่อยู่ในสนามบิน ห้องโถงของผู้โดยสารขาเข้าเลยค่ะ

รายละเอียดรถบัสนะคะ ดูได้จากลิ้งค์นี้เลย:
http://bus-en.fujikyu.co.jp/highway/detail/id/39/

หน้าตาบัตรโดยสารก็จะหน้าตาประมาณนี้ เพิ่งสังเกตว่าเค้าใส่ชื่อผู้โดยสารมั่ว ๆ ไป ฮาาา

เค้าก็จะบอกว่าให้ไปรอรถที่ป้ายรถเบอร์อะไร ของเคโกะในที่นี้คือเบอร์ 11 ค่ะ ที่เค้าเขียนวงไว้ให้สีแดงค่ะ

ก็ออกไปรอที่ป้ายรถ รถมาตรงเวลาตามสไตล์ญี่ปุ่นเลยค่ะ

บนรถมีที่ชาร์จโทรศัพท์แบบ USB ด้วยนะคะ ก็ชาร์จไปเล่นโทรศัพท์ไปหลับไป เพลิน ๆ ก็ถึงค่ะ รถที่เคโกะไปนั้นไม่มีคนลงป้ายก่อนหน้าเลย (รถจะจอดที่ Fuji Q Highland, Mt.Fuji sta. ก่อนถึงป้ายสุดท้ายที่เคโกะลงคือ Kawaguchiko sta. ค่ะ) รถก็เลยมาถึงจุดหมายปลายทางก่อนเวลาอยู่พอสมควรเลยค่ะ

นี่เป็นการมาที่ Kawaguchiko เป็นครั้งที่สองของเคโกะแล้วค่ะ ก็จะไม่ค่อยตื่นเต้นกับวิวเท่าไหร่ ตื่นเต้นกับคนที่จะไปเที่ยวด้วยมากกว่า ฮาาาาา 😛

ลงจากรถบัสแล้วอย่าเพิ่งเดินหนีไปไหนค่ะ หันหลังกลับมาก่อน ก็จะเห็นวิวฟูจิซังที่อยู่ด้านหลังสถานีรถไฟ ซึ่งเป็นที่เดียวกับป้ายรถบัสต่าง ๆ ด้วยค่ะ มาจอดตรงนี้หมดนะ

บังเอิญว่าพี่ ๆ ที่ร่วมทริปกันเค้าอยู่แถวนั้นพอดี ก็เลยรอรถของบ้านพักที่จองไว้มารับไปที่พักค่ะ ซึ่งที่พักนั้นเดินไปที่ริมทะเลสาบได้ และเห็นฟูจิซังได้แบบเต็ม ๆ ตาเลย วิวสวยเวอร์วังมากกกกกกกกกก (ไม่มีรีวิวที่พักให้นะคะ อารามตื่นเต้นกับคนร่วมทริปใหม่อะ เลยไม่ได้ถ่ายรูปไว้เลย ><~)

พอวันถัดมา ก็แพลนกันว่าจะไปไหนกันบ้าง ซึ่งทริปนี้เคโกะก็จะเป็นผู้ติดตามที่ดีค่ะ 5555

เริ่มต้นที่ Kachi Kachi Ropeway ก่อนค่ะ นั่งรถบัสสายสีแดงไปลงที่ป้ายเบอร์ 9 หรือ Sightseeing Boat/Ropeway Ent. ค่ะ

รายละเอียดเกี่ยวกับรถบัสรอบทะเลสาบนั้นดูได้จากลิ้งค์นี้ค่ะ
http://bus-en.fujikyu.co.jp/heritage-tour/detail/id/1/

จะมีคุณกระต่ายน้อยที่เป็นสัญลักษณ์ของ Kachi Kachi Ropeway ยืนต้อนรับอยู่ แล้วเราก็ซื้อตั๋วค่ะ ซึ่งเราเลือกตั๋วแบบ combo set ที่รวมเอากระเช้าและเรือด้วยกัน ราคา 1600Y ค่ะ

จากนั้นก็ขึ้น ropeway ไปจนสุด ก็จะเจอกับคุณฟูจิซังแบบเต็ม ๆ มุมสูงค่ะ

เพราะเคยมาแล้ว เลยเลือกรูปที่ถ่ายฟูจิซังคู่กับกระดิ่งที่อยู่ด้านบนเขามานะคะ

ซึ่งถ้าใครอยากอ่านรีวิวตรงนี้ในฉบับเก่าที่เคโกะเคยไปมาแล้วเมื่อ 8 ปีก่อน (ในรายละเอียดหลัก ๆ ก็เหมือน ๆ เดิมค่ะ ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย) ก็ไปอ่านได้ตามลิ้งค์ 2 ตอนนี้เนาะ
In love, in Japan ep3
In love, in Japan ep4

ใกล้ ๆ ก็จะมีศาลเจ้าคุณกระต่ายอยู่ค่ะ

ตรงป้ายด้านหน้าศาลก็จะบอกเลยว่าคือศาลเจ้ากระต่าย

ข้าง ๆ ของศาลเจ้าคุณกระต่ายก็จะเป็นทาง trail ที่ครั้งก่อนมา ก็ไม่ได้ไปเดิน เพราะตอนนั้นยังไม่อินกับการ trail อะไรอย่างนี้ แต่ครั้งนี้มาก็ไม่ได้ไปเดินอีกเพราะปิดค่ะ 555

แอบถ่ายคุณเทพเจ้ากระต่ายมาให้ดู

แล้วก็มีร้านขายของที่ระลึกที่มีของน่ารัก ๆ เยอะเลยค่ะ อย่างเคโกะเองที่ว่าไม่ชอบซื้อของพวกนี้ ก็ยังอดใจไม่ได้ซื้อกลับมาชิ้นสองชิ้นเลย ><

ที่เปลี่ยนไปก็คือ มีทางเดินขึ้นไปชมวิวแบบพาโนรามาแล้วค่ะ อยู่ชั้นบนของร้านขายของนี่แหละ

ดูวิวทะเลสาบกันก่อนนะคะ

แล้วก็หมุนไปดูฟูจิซังบ้าง มุมนี้ยอดฮิตมาก คนแน่นเชียวค่ะ

ดูวิวจนอิ่มหนำสำราญแล้ว ก็นั่ง ropeway กลับลงมาด้านล่างตามเดิมค่ะ

เคโกะมีทำเป็นคลิปไว้ให้ดูกันเล่น ๆ ด้วยน้าาาา จิ้มดูกันได้ค่ะ ^^”

เคโกะถ่ายมา 2 คลิปแล้วเอามาต่อกัน ซึ่งคลิปแรกเคโกะใช้มือถือถ่าย พอเอามาต่อกับคลิปที่ 2 ที่ใช้กล้องถ่ายรูปถ่าย ก็เลยกระตุกไปนิดหน่อยนะคะ แหะ ๆ ><“

จากนั้นก็เดินข้ามไปฝั่งตรงข้าม แล้วไปทางซ้ายมือค่ะ ไปยังท่าเรือของ sightseeing boat ก็โชว์ตั๋วที่เราซื้อมาพร้อมกับ ropeway ก็ผ่านไปรอขึ้นเรือได้แล้วค่ะ

รออยู่พักนึง เรือก็เข้ามาเทียบท่าแล้วค่ะ

ซึ่งเรือลำนี้ก็พาไปวน ๆ ดูถึงประมาณสะพานที่ข้ามฝั่งทะเลสาบอะค่ะ แล้วก็วนเรือกลับ ระหว่างทางก็มีบรรยายอะไรไปด้วย ซึ่งเคโกะฟังไม่ออก 5555

ก็เน้นดูวิวทะเลสาบ + ฟูจิซังเลยค่ะ

จากนั้นพวกเราก็นั่งรถบัสสายสีแดงไปที่ป้ายเบอร์ 15 หรือ Kawaguchiko Music Forest Museum ค่ะ

แล้วก็เข้าไปซื้อบัตรเข้าชมกันก่อน คนละ 1500Y ค่ะ ถ้าจำไม่ผิดนี่คือราคาลดแล้ว เพราะเราได้คูปองส่วนลดจากที่พักมาด้วยค่ะ

ซื้อตั๋วเสร็จแล้ว เราสามารถเช่าชุดเพื่อถ่ายรูปเล่นกับสถานที่ให้เข้ากับบรรยากาศก็ได้ค่ะ เห็นสายถ่ายรูปเค้าก็มาเช่าชุดไปถ่ายรูปกันอยู่นะ

จากนั้นก็เข้าไปด้านในกัน ซึ่งสถานที่เค้าทำออกมาทรงยุโรปเลยค่ะ แต่อาณาบริเวณนั้นดูไม่ได้ใหญ่กว้างขวางนักนะคะ ถ้าเทียบกับแผนที่ที่เค้าให้มาตอนซื้อบัตรแล้ว คนละเรื่องเลยอะ 555

พวกเรามาถึงจวนได้เวลาชมโชว์น้ำพุพอดีค่ะ ก็เลยรอชมกัน ได้ที่นั่งแถวหน้าด้วยนะ เคโกะถ่ายวิดีโอมาด้วยค่ะ แต่น่าเสียดายว่าไม่มีขาตั้งกล้อง แล้วมือสั่นมากกกก พอมาย้อนดูแล้วไหวมาก กลัวจะเวียนหัวกัน เลยขอไม่ลงให้ดูนะคะ ><“

หลัก ๆ สำหรับที่นี่แล้วก็คือการชมโชว์ต่าง ๆ กับชื่นชมสถานที่ค่ะ เค้าจัดออกมาได้สวยงามอยู่ สไตล์ยุโรปอย่างที่เคโกะว่าไปแล้ว แล้วก็มีร้านค้าขายของด้วย เข้าธีมกับสถานที่หมดเลยค่ะ

แล้วก็มีทางออกด้านหลังที่ไปเดินเลียบทะเลสาบด้วย แต่ต้องระวังนิดนึงค่ะ เพราะทางออกตรงนี้คือออกได้อย่างเดียว เข้าไม่ได้ ถ้าจะกลับเข้าใหม่ต้องไปเข้าด้านหน้าค่ะ

คุยกันกับพี่ ๆ แล้วก็ตกลงว่าเดินข้างในกันให้ครบแล้วก็วนออกด้านหลังตรงนี้ ชมวิวกันอีกนิดนึงค่ะ

จริง ๆ แล้วบริเวณนี้เราจะมองเห็นฟุจิซังได้ด้วย แต่เผอิญว่าอากาศไม่เป็นใจค่ะ cloudy ตั้งแต่คล้อยบ่ายมาเลย ก็เลยมองไม่เห็นฟูจิซังอีก ก็เลยได้แต่เดินชมวิว เม้าท์มอยกันไปพลาง ๆ ก่อนที่จะขึ้นรถกลับไปที่สถานี Kawaguchiko ค่ะ

บังเอิญอีกแล้ว เราเจอรถบัสที่วิ่งตรงไปสถานี ไม่แวะไหนเลย แล้วคุณคนขับก็ต้องคอยชูป้ายบอกทุกป้ายที่จอด ก่อนที่จะวิ่งยาวไปยัง Kawaguchiko sta. ค่ะ

การเที่ยวทะเลสาบ Kawaguchi นี้ก็เลยจบลงห้วน ๆ แบบนี้เลยนะคะ เคโกะมานี่แค่คืนเดียว อยู่เที่ยวทั้งวันแล้วก็จะตีรถกลับเข้าโตเกียวค่ะ ซึ่งภารกิจสำคัญของทริปญี่ปุ่นนี้ก็อยู่ที่โตเกียวนี่แหละ เคโกะโพสต์ลงเพจไปแล้วนะคะ เดี๋ยวไว้ว่าง ๆ ที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะเอามารีรันใน wordpress อีกรอบเนอะ

น่าจะยังอยู่ญี่ปุ่นกันอีกซักสองสามโพสต์นะคะ แล้วจะพาวกกลับไปไต้หวันอีกแล้ว (ห้ะ!!!)

ก็ช่วงนี้เที่ยวไทยยังไม่ได้ เอาทริปที่ดองไว้มาโพสต์ให้หมดก็แล้วกันเนาะ แหะๆ //เสียงอ่อน

ชวนเม้าท์มอยกันได้ที่เพจนะคะ เหงามากกกก 555
https://www.facebook.com/thisiskeigo

[Kawasaki] Fujiko F Fujio Museum

สวัสดีค่ะ ใครที่ติดตามโพสต์ของเคโกะมาตลอดครบถ้วนทุกตอนคงจะแปลกใจไม่ใช่น้อยที่เอาเรื่องนี้มาพูดอีกแล้ว … ไม่นะคะ ไม่ได้เอาเรื่องเก่ามาเล่าใหม่น้าาา เค้าแค่ไปอีกรอบเท่านั้นเอ๊งงงงงง ><~

โพสต์เดิมค่ะ >> https://thisiskeigo.wordpress.com/2017/03/13/fujiko-f-fujio-museum/

Spot name : Fujiko F Fujio Museum / 藤子・F・不二雄 ミュージアム
Google maps : https://goo.gl/maps/WAViLqzzGWnz8jkz9
Transportation : Shuttle bus from Noborito Station or walk about 20-30 minutes
Entrance fee : 1000Y (advanced ticket only)
Opening hours : 10.00-18.00 (closed on Tuesday, year-end and new year holidays)
Visited date : 17 Feb 2019
Website : http://fujiko-museum.com/english/

เนื่องจากตั๋วที่จะเข้ามิวเซียมนี้จำเป็นต้องซื้อล่วงหน้าผ่านตู้ขายตั๋วอัตโนมัติ Loppi ใน Lawson เท่านั้น วันแรกที่เราไปถึงจึงต้องมองหา Lawson และพุ่งเข้าไปซื้อตั๋วก่อนเลยค่ะ

เวลาเข้าชมให้เลือก 4 ช่วงเวลาด้วยกันคือ 10.00, 12.00, 14.00 และ 16.00 ค่ะ จริง ๆ พวกเราอยากไปตั้งแต่เช้า แต่วันที่จะไปนั้นรอบเช้าเต็มไปแล้ว ก็เลยจำเป็นต้องเลือกรอบบ่าย 2 แทนค่ะ

ด้วยภาษาง่อนแง่นของเคโกะและความช่างสังเกตของเพื่อน จึงทำให้พวกเราสามารถกดซื้อตั๋วเองผ่านตู้อัตโนมัติได้เป็นที่สำเร็จเรียบร้อย เย้~

และด้วยความเกร็งจัดในการกดตั๋วผ่านตู้ เลยทำให้ไม่ได้ถ่ายรูปหน้าจอมาให้ดูกันนะคะ แหะๆ .. แต่ถ้าใครอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออก ก็สามารถแจ้งพนง.ลอว์สันให้ช่วยกดให้ได้ค่ะ (ที่ตู้มีแต่ภาษาญี่ปุ่นเท่านั้นน้าาา)

การเดินทาง มาได้ทั้ง JR และ Odakyu เลยนะคะ เลือกตามสะดวกเนาะ แล้วมาลงที่สถานี Noborito จากนั้นออกมาจากสถานี ก่อนที่จะเดินไปป้ายรถเมล์ เราก็สังเกตเห็นโดรามี่จังยืนตัวเล็กตัวน้อยอยู่ค่ะ

แล้วเราก็เลี้ยวซ้ายไปที่ป้ายรถเมล์ ก็จะมีป้ายรถเมล์เฉพาะสายของมิวเซียมอยู่ค่ะ ตอนที่เราไปถึง รถเมล์ก็จอดรออยู่แล้วพอดี

แต่ด้วยความที่อ่านรีวิวเจอว่า เค้าจะมีโมเดลโดราเอมอนอยู่ตามที่ต่าง ๆ ในเมืองระหว่างทางที่เดินไปมิวเซียมค่ะ เราก็เลยตกลงกันว่า “เดินไป”

เดินไปตามกูเกิ้ลแม็พตามเคย แต่ระหว่างทางนั้น ถามว่าเจอพี่ม่อนมั้ย .. เจอก็เหมือนไม่เจอค่ะ ออกจะเป็นรูปม่อนเบา ๆ ที่ประดับอยู่ตามราวสะพานข้ามแม่น้ำ ตรงขอบทางไรงี้ซะมากกว่า – -“

ระหว่างทางที่เดินไป ฟ้าใส อากาศดี ก็น่าเดินอยู่นะคะ T.T

เดินไปราว ๆ 5 ท้อใจ ในที่สุดพวกเราก็เดินมาถึงจนได้ค่ะ

แม้ว่าพวกเราจะมาถึงก่อนเวลาเข้าชม แต่ก็ยังเข้าไม่ได้นะคะ เค้าจะให้เข้าเป็นรอบ ๆ ตามเวลาที่กำหนดเท่านั้นค่ะ แล้วก่อนเวลาประมาณ 10-15 นาที เค้าก็จะให้ต่อแถวรอ เพราะจะปล่อยให้เข้าเป็นกลุ่ม ๆ ค่ะ เพื่ออธิบายกฎกติกาการเข้าชม และแลกเครื่องแฮนดี้ที่เอาไว้อธิบายจุดต่าง ๆ ที่จัดแสดงในมิวเซียมค่ะ

ระหว่างที่ยืนรอเวลาเข้าชม ก็มีรถบัสอีกคันมาจอดตรงหน้าพอดี ก็เลยรู้ว่ารถบัสมีหลายลายอยู่นะคะ

ด้านหน้าที่ต่อคิวเข้ามิวเซียม ก็มีอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กรี๊ดกร๊าดตามประสาที่ด้านหน้าก่อนทางเข้าด้วยค่ะ

ด้านในจะเป็นมิวเซียม เป็นห้องนิทรรศการจัดแสดงผลงานทั้งหมดของอาจารย์ Fujiko F Fujio ค่ะ เคโกะเองก็ทั้งอ่านและดูการ์ตูนเป็นประจำอยู่แล้วในวัยเยาว์ ก็เลยจะรู้จักผลงานของอาจารย์เป็นส่วนใหญ่เลยค่ะ ก็จะค่อนข้างอินและชอบมากทีเดียว

ซึ่งนิทรรศการที่จัดแสดงนั้น ส่วนของชั้นล่างนั้นเหมือนเดิมกับที่มาครั้งที่แล้วค่ะ แต่ที่เปลี่ยนไปคือในส่วนของชั้น 2 (ไม่ได้ถ่ายรูปมานะคะ เพราะมีส่วนที่ถ่ายได้และห้ามถ่ายรูปค่ะ ก็เลยไม่ถ่ายซะเลย)

แต่ในส่วนที่เคโกะว่าเจ๋งก็คือ ลานด้านนอกห้องนิทรรศการที่ชั้น 2 ค่ะ แต่เดิมเป็นลานโล่ง ๆ ไม่มีอะไร คราวนี้เค้าเอาบ้านจำลองของโนบิตะมาตั้งไว้ให้ชมกัน รวมถึงมีวางแท็บเบลตให้ส่อง AR ด้วย แล้วเราก็จะเห็นตัวละครมีชีวิต ขยับเคลื่อนไหวไปมาสั้น ๆ เหมือนมาอยู่ตรงหน้าเราเลยค่ะ กรี๊ดหนักมากกกกก

บ้านของโนบิตะค่ะ เด็กที่อยู่ด้านหน้ากำลังส่องห้องนอนโนบิตะอยู่นะคะ
ห้องดูทีวีของพ่อกับแม่โนบิตะค่ะ พอเห็นเป็นไอเดียเนาะว่าส่องแล้วจะมีภาพเคลื่อนไหวขึ้นมาให้เราดูค่ะ

จากนั้นเราก็ไปชมภาพยนตร์สั้นกันค่ะ ซึ่งคราวนี้เปลี่ยนเรื่องใหม่แล้ว ไม่ใช่เรื่องเดิมที่เคยดูเมื่อครั้งที่แล้วค่ะ

คราวนี้ตัวเอกเป็นโคโรสึเกะ จากเรื่อง “คิเตเรสึ เจ้าหนูนักประดิษฐ์” ค่ะ

พอได้เวลาก็ต่อแถวเข้าห้องชมภาพยนตร์กัน ส่วนใหญ่ก็จะมากันเป็นครอบครัวอะนะคะ ><“

ในภาพยนตร์สั้นที่ฉายให้ดูนั้น ไตเติ้ลเรื่องก็จะขนเอาตัวละครหลัก 5 ตัวของแต่ละเรื่องที่เป็นผลงานของอาจารย์มาให้ดูด้วยค่ะ ซึ่งดู ๆ ไปแล้ว เป็นแพทเทิร์นสำเร็จรูปมากเลยอะ 555

อีกสิ่งนึงที่เปลี่ยนไปก็คือ คราวนี้มีซับอังกฤษขึ้นให้อ่านแล้วค่ะ จากเดิมที่ไม่มีเลยนะ ต้องอาศัยดูรูปเอาหรือไม่ก็พอจะฟังภาษาญี่ปุ่นได้บ้างค่ะ

ส่วนเอาท์ดอร์ที่มีโมเดลจากการ์ตูนเรื่องต่าง ๆ ก็ยังคงมีเหมือนเดิมนะคะ

ตรงพี่ม่อนเนี่ย เป็นอะไรที่ฮอตฮิตมาก ๆ ไม่เคยเว้นจากผู้คนที่มาถ่ายด้วยเลย 555

ส่วนตู้กาชาปองก็ยังมีอยู่เหมือนเดิมนะคะ มาหยอดที่นี่คือดีสุด ไม่ต้องไปสอดส่องหาตามจุดต่าง ๆ ในญี่ปุ่นให้เมื่อยตาค่ะ หายากมากกกกกอะ

แล้วเราก็เข้าคาเฟ่กัน ซึ่งก็บ่ายมากแล้วค่ะ คิวยาวมากกกกกกก

ด้านหน้ามีเมนูให้เรายืนส่อง ยืนเลือกตามอัธยาศัย

พอถึงคิว ได้โต๊ะก็สั่งอาหารกันค่ะ

จานแรกมาก่อนใครเพื่อนคือเฟรนช์ฟราย ตัวนี้มาในเซ็ทอะค่ะ คู่กับน้ำสีฟ้า (ไอ้เราก็ลืมชื่อไปอี๊กกก 555)

ตามมาด้วยสปาเก็ตตี้ซอสมะเขือเทศ บอกเลยว่าแต่ละเมนูที่เลือกมานี่ ให้คนรักม่อนเค้ากรี๊ดอย่างเดียวเลยค่ะ ไม่ได้สั่งเพราะอยากกินเล้ยยย 555

มาพร้อมกับโคร็อกเกต หรือคร็อกเก้ ปั๊มลายโดราเอม่อนค่ะ

ช็อคโกแลตร้อน วาดลายโดราเอม่อนมา ตอนที่สั่งก็ถามคุณพนง.ว่าเลือกลายเองได้มั้ย เค้าบอกว่าไม่ได้ค่ะ แล้วแต่เชฟทำให้ แต่เราก็ได้ม่อนมา มีแต้มบุญกะเค้าสินะ กรี๊ดดดดด

อีกแก้วน่าจะเป็นกาแฟร้อนของเพื่อนค่ะ วาดลายม่อนแบบ 3D มา น่ารักไปอีกแบบ กรี๊ดดดดดด

ปิดท้ายที่น้ำสีฟ้า (ที่ลืมชื่อนั่นแหละ) มีแก้วพร้อมพร็อพเก๋ ๆ ใส่หลอดมาให้ เวลาเราดูดก็จะมีหน้าแมว (แบบหนวดม่อนอะค่ะ) อยู่ตรงหน้าเราพอดี เกร๋ๆ~

ค่าความเสียหายมื้อนี้ทั้งหมดก็ 3400Y ค่ะ ส่วนเรื่องรสชาติ เคโกะว่าอาหารอะเฉย ๆ นะ ช็อคโกแลตร้อนคือดีค่ะ ไม่หวานไป ส่วนน้ำสีฟ้านั้น ไม่มีแอลกอฮอล์นะคะ เด็ก ๆ ทานได้ค่ะ ^^

แต่ถามว่าพอมั้ย ตอบเลยว่าไม่ค่ะ

เดินไปซื้อขนมลายพี่ม่อนมากินอีก 2 ชิ้น เป็นไทยากิ กับโดรายากิ ค่ะ

2 ชิ้นนี้ จะขายอยู่ที่ร้านที่อยู่ด้านหลังคาเฟ่ ติด ๆ กับลานเอาท์ดอร์ที่มีพี่ม่อนยืนอยู่ค่ะ สนนราคารวม 360 บาท ส่วนรสชาติก็มาตรฐานขนมญี่ปุนนะ หอม หวาน แป้งนิ่ม ชอบหวานก็จัดได้ค่ะ

ส่วนขากลับ เรากลับรถบัสกันนะคะ ไม่เดินแล้วววววว 5555 ค่ารถบัสต่อเที่ยวต่อคนอยู่ที่ 210Y ค่ะ ขึ้นรถที่หน้ามิวเซียมได้เลยค่ะ รถก็จะมาส่งที่สถานี Noborito ที่ป้ายรถเมล์หน้าสถานีเลยค่ะ

ถ้าไม่ใช่แฟนผลงานของอาจารย์ Fujiko F Fujio แต่รักโดราเอมอน เคโกะว่าก็คุ้มค่ากับการมาเยี่ยมชมค่ะ แต่ถ้ารู้จักการ์ตูนที่เป็นผลงานของอาจารย์หลายเรื่อง ก็จะอินหน่อยนะ ^^

https://www.facebook.com/thisiskeigo/

Himeji

สวัสดีค่ะ ทริปญี่ปุ่นเมื่อต้นปีของเคโกะ (กว่าจะเขียนจบก็กลางปีซะงั้น – -” ) ดูจะซ้ำ ๆ รอยนิดหน่อยกับที่เคยไปมาแล้วหนนึงนะคะ และโพสต์นี้ก็เช่นกัน

Spot name : Himeji castle
Websitehttp://www.himejicastle.jp/en/
Location : Himeji station and walk about 15 minutes
Entrance fee : 1,000Y
Opening hours : 9AM-4PM (9AM-5PM in summer)

เราเดินทางมาถึงสถานี Himeji แล้วก็เดินตรงดุ่ม ๆ ไปยังปราสาทตรงหน้าที่สามารถมองเห็นได้ตั้งแต่อยู่ที่หน้าสถานีเลยค่ะ

ระหว่างทางเดินไปปราสาท เคโกะก็สังเกตเห็นป้ายเตือนอันนึงที่วางอยู่บนทางเท้า ดูน่ารักดีอะ

IMG_4377

“เดินใช้สมาร์ทโฟนอันตรายนะ”

เดินมาราวสามท้อใจท่ามกลางอากาศที่ค่อนข้างหนาว พวกเราก็มาถึงจนได้ค่ะ

DSC_6286

เดินผ่านประตูชั้นนอกเข้ามา ก็จะเป็นสวนขนาดใหญ่ มีซุ้มถ่ายรูปด้วย (น่าจะเสียสตางค์ค่ะ)

DSC_6298

ตัวปราสาทเด่นมาก ๆ อย่างที่บอกไป เราสามารถเห็นได้ในระยะไกล ตั้งแต่สถานีก็เห็นได้แล้วค่ะ

DSC_6301

เดินไปจนถึงจุดจำหน่ายตั๋วเข้าชม สามารถใช้บริการตู้ขายตั๋วอัตโนมัติได้เลยนะคะ ใช้งานง่ายดีค่ะ

IMG_4380

ผู้ใหญ่แถวบน ซ้ายไปขวาคือจำนวนตั๋วที่ต้องการซื้อค่ะ มี 1-2-3 และ 4 ใบ แถวล่างเป็นตั๋วสำหรับเด็ก ราคา 300Y (ถูกกว่าผู้ใหญ่มากเลย ^^”)

ก็มีคำบรรยายภาษาอังกฤษกำกับไว้ด้วยนะคะ ไม่ยากๆ

IMG_4381

ได้ตั๋วมาแล้วค่ะ

IMG_4382

เข้าไปด้านในก็จะเจอกับคุณลุงจนท. ที่น่ารักมาก ๆ ขอให้คุณลุงถ่ายรูปให้ คุณลุงก็ถ่ายให้อย่างทะมัดทแมงดีค่ะ รู้มุมด้วยว่าต้องถ่ายประมาณไหนไรงี้ ตรงนี้จะเป็นมุมที่คุณลุงถ่ายรูปให้นะคะ เรายืนด้านหน้า ด้านหลังก็จะเป็นตัวปราสาททั้งหลังค่ะ สวยมาก ๆ เป็นจุดถ่ายรูปจุดนึงเลยค่ะ

DSC_6305

ครั้งก่อนที่เคโกะมา ยังเป็นช่วงบูรณะซ่อมแซมอยู่ ก็เลยดูได้แต่พิพิธภัณฑ์ที่ทางปราสาทได้จัดทำแสดงไว้ แต่ไม่ได้เข้าตัวปราสาทค่ะ

มาครั้งนี้ตัวปราสาทบูรณะเสร็จไปส่วนใหญ่แล้ว เปิดให้เข้าชมได้ (ตั๋วก็เลยเป็นราคาเต็มไงล่ะ T.T) ด้านในก็ยังดูโล่ง ๆ อยู่ ทางเดินแอบดูงง ๆ และมืด ๆ เล็กน้อยค่ะ มีบันไดให้วนขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุดได้ แต่ทางเดินบันไดนั้นแคบและชันมาก ๆ ระวังกันด้วยนะคะ

ด้านบนสุดจะมีศาลเจ้าเล็ก ๆ ประดิษฐานอยู่ เห็นคนไหว้ขอพร โยนเหรียญอยู่บ้างประปรายค่ะ

DSC_6329

แล้วก็ชมวิวมุมสูงได้ด้วย มองย้อนกลับไปเห็นทางเดินที่เราเดินมากันด้วยค่ะ

IMG_4394

เดินวนครบรอบก็เดินออก ก็เจอกับฝูงชนกลุ่มใหญ่ยืนถ่ายรูปเล่นบริเวณนี้อยู่ ก็ดูเป็นมุมที่สวยอีกมุมนึงค่ะ

DSC_6340

ปิดท้ายที่ตู้ขายเหรียญที่ระลึก ซึ่งอยู่ในร้านขายของที่ระลึกตรงทางออกจากปราสาทค่ะ

IMG_4403

ในเมืองฮิเมจินี้นอกจากปราสาทฮิเมจิแล้ว ก็ยังมีที่อื่น ๆ ที่น่าสนใจด้วยนะคะ แต่ว่าด้วยเวลาจำกัด (อีกแล้ว) ก็เลยไปได้แค่นี้เอง หลังจากนี้จะไปไหนกันต่อต้องติดตามในโพสต์ถัดไปนะคะ

ฝากเพจด้วยน้าาาา https://www.facebook.com/thisiskeigo/

Wakayama

สวัสดีค่ะ หลังจากเป็นนุชที่ดีแอบลัดคิวลงเรื่องทริปขนอมไปแล้วก็กลับมาวนเวียนในญี่ปุ่นกันต่อนะคะ ^^”

ทริปเมือง Wakayama นี้ก็จะเป็น 1-day trip เช่นเดิมนะคะ สามารถไป-กลับโอซากะในวันเดียวได้สบายๆ ค่ะ

Spot name : Wakayama Castle, Tama Densha Line
Location : Wakayama
Visited date : 26 Jan 2018
Pass used : No (except JR KWAP)

เริ่มต้นที่สถานี JR Wakayama นะคะ พอพวกเรามาถึง เราก็แวะเวียนไปที่ Tourist Information Center ที่อยู่ภายในสถานีชั้นใต้ดิน สอบถามข้อมูลอะไรได้จากตรงนี้เลยนะคะ จากนั้นเราก็ออกไปด้านหน้าสถานี นั่งรถเมล์ไปลงที่ป้าย Koenmae (โค-เอน-มา-เอะ = หน้าสวน) ค่ะ แล้วเราก็จะเจอกับด้านหน้าทางเข้าปราสาท หรือ Wakayama Castle พอดีเลย

DSC_6230

ก็จะมีกำแพงปราสาทสองชั้น ตามลักษณะปราสาทญี่ปุ่นสมัยก่อนนะคะ

DSC_6233

พอเดินเข้าไปจนถึงชั้นในแล้ว ก็จะมีป้ายบอกทาง ซึ่งทางที่เคโกะเดินเข้าไปเนี่ย เราจะเลี้ยวซ้ายหรือขวา ก็ไปถึงตัวปราสาทได้หมดค่ะ อารมณ์ประมาณยืนอยู่กึ่งกลางล่ะค่ะ ><~

แค่เลือกว่า จะไปโผล่ด้านหน้าหรือด้านหลัง (ตามป้าย) อะนะคะ

IMG_4276

เดินไปตามทางเรื่อย ๆ ซักระยะ เราก็พอจะเริ่มเห็นตัวปราสาทกันแล้วนะคะ

DSC_6238

เดินมาจนถึงกำแพงของปราสาท Wakayama จนได้ค่ะ ดูใกล้ ๆ แบบนี้รู้สึกใหญ่โตโอ่อ่าและสง่ามากเลยค่ะ

DSC_6244

แล้วก็ซื้อตั๋วเข้าชมกันก่อนด้วยค่ะ คนละ 400Y ค่ะ

IMG_4277

เดินผ่านประตูที่ตรวจตั๋วเข้าไป ก็จะมีสวนพักสายตาเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้พักผ่อนสายตา

DSC_6245

ด้านในปราสาทก็จะทำเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงชุดนักรบสมัยก่อน อาวุธ เสื้อผ้า การแต่งกายอะไรงี้อะค่ะ

สามารถเดินขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุดได้เลย และยังสามารถเดินออกไประเบียงด้านนอก เพื่อชมวิวเมืองในมุมสูงได้ด้วยนะคะ

DSC_6247

อีกซักมุมค่ะ

DSC_6249

แบบพาโนรามาบ้างนะคะ

IMG_4283

ทางเดินชมปราสาทจะเป็นเส้นทางเดินวนเข้าและออกคนละทางกันค่ะ พอออกมานอกปราสาทแล้ว ใกล้ ๆ กันจะมีที่ชมวิวตัวปราสาทได้อย่างสวยงามมาก ๆ อีกจุดนึงค่ะ

DSC_6254

เราเพลิดเพลินอยู่กับ Wakayama Castle กันจนพอใจแล้ว เราก็เดินออกและนั่งรถเมล์กลับไปที่สถานี Wakayama ตามเดิมค่ะ

จุดหมายต่อไปก็สำหรับทาสแมวและคนรักแมวทั้งหลายเลยค่ะ กับนายสถานีแมวทามะรุ่น 2 และรถไฟสายทามะจัง ^^

เมื่อกลับมาถึงสถานี Wakayama แล้ว ก็เดินเข้าไปด้านในสถานี ตรงไปที่ชานชาลาหมายเลข 9 เลยค่ะ ซึ่งจะมีป้ายบอกทางอยู่ทั้งสถานีเลย บนพื้นก็ยังมีเลยนะ เดินตามไปได้เลยค่ะ

IMG_4289

มาถึงชานชาลาหมายเลข 9 แล้วค่ะ

IMG_4291

ตามขั้นบันไดก็เป็นรูปรอยเท้าแมวอะ น่าร้ากกกกกก

IMG_4292

ส่วนบนกำแพงสองฝั่งทางเดินก็มีรูปการ์ตูนแมวทามะจังค่ะ

IMG_4293

รถไฟสาย local นี้มีรถไฟทั้งหมด 4 ขบวน แต่ว่าวันที่ไปให้บริการ 3 ขบวนคือ

  • Tamaden (たま電車) รถไฟจะเพนท์เป็นรูปแมวทามะ นายสถานีของรถไฟสายนี้ค่ะ แต่ทามะจังได้เสียไปแล้วหลายปีก่อน ตอนนี้เป็น generation 2 หรือรุ่นที่ 2 ค่ะชื่อว่า นิทามะ (Nitama)
  • Omoden (おもちゃ電車) รถไฟสายของเล่นค่ะ ด้านในจะมีตู้กาชาปองให้หยอดเล่นด้วย
  • Umeboshi (うめ星電車) รถไฟสายบ๊วย จะเพนท์เป็นรูปดอกบ๊วยค่ะ

อีกขบวนนึงที่ไม่ได้ให้บริการคือรถไฟสตรอเบอรี่ค่ะ

เคโกะไม่ได้ดูตารางเวลามาก่อนนะคะ มาถึงก็ได้รถไฟสายบ๊วยก่อนเลยค่ะ

DSC_6271

ด้านในก็จะเพนท์ลวดลายดอกบ๊วย ประมาณนี้

IMG_4298

ระหว่างพักที่สถานีนึง เราก็เจอรถไฟสายของเล่นเข้าพอดี

IMG_4299

เรานั่งไปจนสุดสายปลายทางคือสถานี Kishi Station เพื่อมาหานิทามะจัง นายสถานีรุ่น 2 แทนทามะจังที่เสียไปแล้วค่ะ

น่าร้ากกกกกกกกกกก ❤

IMG_4307

ในแต่ละสถานีจะมีป้ายตารางเวลารถไฟบอกด้วยค่ะ เพราะงั้นพอลงรถไฟแล้วก็แวะมาดูตารางเวลาสักหน่อย จะได้กะเวลามารอรถไฟกันถูกนะคะ

IMG_4313

แล้วก็มีป้ายบอกด้วยว่าแมวทั้งสองตัว (รุ่น 2 นี้มีสองตัวค่ะ คือ นิทามะ กับ ยนทามะ (Yontama) แต่วันที่ไป ยนทามะจังหยุดงานค่ะ ^^”

IMG_4333

ข้อมูลว่าแมวตัวไหนประจำการที่สถานีใด ตัวไหนหยุด ตัวไหนทำงานนั้นหาได้จากเว็บไซต์เลยค่ะ

ที่สถานี Kishi นั้น นอกจากมีแมวนิทามะจังประจำการให้ทาสแมวอย่างเคโกะกรี๊ดแล้ว ก็ยังมี Tama shop ขายของที่ระลึกที่มีรูปการ์ตูนทามะจังให้ได้ช้อปปิ้งกันด้วยค่ะ ขนาดเคโกะเป็นคนที่ไม่ค่อยซื้อของที่ระลึกอะไรนะ ยังโดนไปสองสามชิ้นเลยค่ะ .. ก็น่ารักกกกออก~

นอกจากนี้แล้ว สถานี้ยังสามารถนั่งรถต่อไปที่ไร่สตรอเบอรี่เพื่อเก็บสตรอเบอรี่สด ๆ ทานกันได้ด้วยนะคะ ซึ่งพวกเราลงความเห็นกันว่าไม่ไปค่ะ ^^”

ในขากลับ เราได้รถไฟสายทามะพอดี กรี๊ดมากเลย (เดี๋ยวๆ ได้ข่าวว่าเธอตั้งใจรอนี่นะ 555)

DSC_6274

รถไฟก็ยังน่าร้ากกกกกก

DSC_6281

ด้านในก็น่าร้ากกกกกกก

IMG_4327

นอกจากที่เคโกะไปและลงเรื่องเล่าให้อ่านนี้แล้ว เมือง Wakayama ก็ยังมีที่ที่น่าสนใจอีกหลายที่ค่ะ แต่เวลาเราไม่เอื้ออำนวยจริง ๆ เลยได้แค่นี้เอง T^T แอบเสียดายอยู่เหมือนกัน ถ้ามีเวลามากพอ เคโกะว่าลองแวะพักที่เมืองนี้ดูอะค่ะ น่าจะดีกว่านะ ^^”

ก็ถ้าชอบเมืองเงียบ ๆ สงบ ๆ และมีแมวน่ารัก ๆ ก็ลองแวะไปเที่ยวกันดูนะคะ

ฝากเพจไว้อีกตามเคย ^^~ https://www.facebook.com/thisiskeigo/

Kobe

สวัสดีค่ะ ยังคงวนเวียนอยู่ในทริปญี่ปุ่นฤดูหนาวที่พยายามรีบเขียนให้จบ .. ก่อนที่หน้าหนาวจะวนมาใหม่ค่ะ 555

Spot name : Merikan Park / Chinatown / Rokko-san (Mount Rokko)
Location : Kobe, Kansai prefecture, Japan
Visited date : 25 Jan 2018
Used pass : Rokkosan tourist pass

สำหรับพวกเราที่ถือพาส KWAP (Kansai Wide Area Pass) ในมือไว้อยู่แล้ว ก็จะถือเป็นเรื่องที่สุดคุ้มในการมาโกเบ ก็คือความสามารถใช้รถไฟชินคังเซ็นมาที่สถานี Shin-Kobe ได้ฟรีเลยค่ะ ใช้เวลาเพียงแค่ 13 นาทีเท่านั้นก็วาร์ปจากโอซากะมาโกเบได้เลย ^^

แล้วเราก็นั่งรถบัส Kobe City Loop Bus ไปที่ Motomachi ค่ะ ซึ่งเราไม่ได้ใช้ 1-day bus pass นะคะ เพราะไปแค่ไม่กี่เที่ยว ยังไม่คุ้มค่าตั๋วค่ะ (ถ้าให้คุ้มต้องมากกว่า 3 เที่ยว ซึ่งพวกเราใช้ 3 เที่ยวพอดี เลยไม่ได้ซื้อค่ะ — อ้อ แล้วเรายังมีส่วนลดนิดหน่อยจากเคาน์เตอร์ข้อมูลการท่องเที่ยวด้วย เลยทำให้ถูกกว่าเดย์พาสค่ะ)

ภายในรถบัส จะมีสาวสวยคอยบรรยายสถานที่สำคัญต่าง ๆ ให้ฟัง และขานป้ายที่จะจอดให้ด้วย (แน่นอนว่าเป็นภาษาญี่ปุ่นล้วน ๆ ค่ะ)

IMG_4214

ลงรถมาก็จะเห็นปลาตัวใหญ่แต่ไกลเลยค่ะ

DSC_6165

บริเวณนี้เป็นสวนสาธารณะที่ระลึกแผ่นดินไหว (Port of Kobe Earthquake Memorial Park) ค่ะ ก็จะมีจุดถ่ายรูปอยู่พอสมควร และติดกับท่าเรือด้วย ก็กินลมชมวิวกันไปได้ค่ะ

DSC_6171

มองไปเบื้องหน้าไกล ๆ จะเห็น Kobe Tower ที่เด่นเป็นสง่าค่ะ

DSC_6173

วิวทะเลบ้างค่ะ

DSC_6175

ชื่นชมบริเวณนี้แล้ว เราก็เดินดิ่งไปยัง Kobe Tower ค่ะ

DSC_6180

เราวนเวียนอยู่ในโกเบทาวเวอร์อยู่พักนึง หลังจากซาวด์เสียงกันแล้วว่าไม่มีใครอยากขึ้นไปชมวิวมุมสูงด้านบน เราก็เดินออกค่ะ ^^”

นั่งรถ City Loop Bus ต่อไปที่ Chinatown ซึ่งก็ตั้งใจว่ามาเดินเล่น ดูบรรยากาศไชน่าทาวน์ในโกเบ แล้วก็หาอะไรกินเล่น กินจริงจังกันค่ะ

DSC_6186

บรรยากาศก็ดูค่อนข้างเปลี่ยนไปจากวันที่เคโกะเคยมา ซึ่งครั้งนี้ที่ไปก็จะมีพนง.เชียร์ลูกค้าเข้าร้านตนเองเป็นภาษาจีนเยอะขึ้นมาก ๆ ค่ะ ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในแหล่งที่ใช้ภาษาจีนเลยอะ หลังจากที่เราคุยกันแล้วก็ตกลงว่า ไม่กินเล่นละ เอาจริงจังเลย (555) ก็เลยเลี้ยวเข้าร้านอาหารจีนร้านนึงค่ะ เค้ามีแบบบุฟเฟ่ต์ด้วย ซึ่งตอนแรกพวกเราไม่รู้ เลยทำท่าจะออก พนง.ก็เลยว่าสั่งเป็น a-la-cart ได้ เราก็เลยโอเคค่ะ

เพราะเป็นอาหารจีน แถมพนง.มองหน้าตาพวกเราที่ดูหมวย ๆ กันแล้วก็ส่งภาษาจีนมาแต่ต้นด้วย เพื่อน ๆ ก็เลยพร้อมใจให้เคโกะเป็นคนสั่งอาหาร สิ่งที่ได้มาก็คือ

ผัดผักรวม

IMG_4217

เมนูสุดโปรด แพ้ทางทุกครั้งที่เข้าร้านอาหารจีน .. ผัดเต้าหู้เสฉวนค่ะ และเป็นเมนูเดียวที่สามารถสั่งเป็นชื่อภาษาจีนได้ 555

IMG_4218

ข้าวผัด

IMG_4219

และผัดกระดูกหมูซอสเอ็กซ์โอมั้งนะ

IMG_4220

ก็สำหรับคน 4 คน ก็ถือว่าพอเพียงและอิ่มดีค่ะ รสชาติอาหารโดยรวมก็ถือว่าโอเคนะ ให้ความรู้สึกอาหารจีนจริง ๆ ได้อยู่ค่ะ (บวกกับที่พนง.คุยเป็นภาษาจีนกับเราตลอดแล้ว เหมือนอยู่ประเทศที่ใช้ภาษาจีนจริง ๆ เลยอะ ^^”)

ทานอาหารอิ่มกันแล้ว เราก็ไปต่อที่ Rokko เลยค่ะ ซึ่งพาสตัวที่เราซื้อมา (Rokkosan tourist pass) นั้นได้รวมการเดินทางไว้หมดแล้ว ตั้งแต่รถบัสสาย 16, Cable car และ Sanjo bus ที่เป็นรถบัสวิ่งวนอยู่บนเขา Rokko ค่ะ

ซึ่งในการไปนั่งรถบัสสาย 16 อันเป็นจุดเริ่มต้นของพาสตัวนี้ คือ เราก็ต้องไปให้ถึงสถานีรถไฟ 3 สถานีค่ะ
– Rokko station (Hankyo Line)
– Rokkomichi (JR Line)
– Mikage (Hanshin Line)

สำหรับพวกเราที่ถือ JR อยู่แล้ว เลยใช้ JR ไปที่ Rokkomichi แล้วต่อรถบัสสาย 16 ไปที่สถานีเคเบิ้ลคาร์ค่ะ

DSC_6189

พอขึ้นมาถึงด้านบนเขารกโกะแล้ว เราก็เดินเล่นไปดูวิวกันก่อนค่ะ ซึ่งจะอยู่บริเวณ Tenran Cafe นะคะ

DSC_6196

จากนั้นก็ไปที่ป้ายรถบัส ซึ่งจริง ๆ แล้วก็จะอยู่ด้านหน้าของสถานีเคเบิ้ลคาร์นั่นแหละค่ะ

รถบัสที่รวมอยู่ในพาส ที่เราใช้ได้ก็คือสาย 1 นี้เท่านั้นค่ะ (มีสองสายคือ 1 กับ 2 ค่ะ)

IMG_4237

รถบัสก็หน้าตาประมาณนี้ วิ่งเป็นวงกลมวน ๆ ไปค่ะ

IMG_4238

สต็อปแรกที่เราไปก็คือ Rokkosan Snow Park ค่ะ

IMG_4230

เป็นที่แรกในทริปนี้เลยที่เราเจอหิมะค่ะ ก็ไหน ๆ มาหน้าหนาวทั้งทีเนอะ เคโกะก็เลยพาเพื่อนมาให้สัมผัสกับหิมะกันแบบเต็ม ๆ ค่ะ ซึ่งลานหิมะที่นี่เป็นลานเดียวในทริปที่เราจะผ่านและแวะมาได้

แต่พอซาวด์เสียงเพื่อน ๆ ดู ทุกคนมีหน้าตาแบบ เออ ชั้นพอใจกับหิมะด้านหน้าแล้วอ่ะ ไม่เข้าแล้วกัน ประมาณนี้เลยค่ะ ก็เลยได้แค่มาสต็อปอยู่ด้านหน้าอะนะ ^^”

จากนั้นเราก็วน ๆ ต่อไปยัง Rokko Garden Terrace / Rokko-Shidare Observatory ค่ะ บริเวณนี้หิมะหนักแน่นมาก ๆ ก็ได้ถ่ายรูปกับหิมะกันสนุกไปอีก

DSC_6211

เดิน ๆ มาแถว ๆ Observatory นิดหน่อย แต่ไม่เห็นมีทางขึ้นไปถ่ายรูปแบบในโบรชัวร์แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวได้ ก็เลยได้แค่นี้ค่ะ

DSC_6221

เราเริงร่ากับหิมะบริเวณนั้นอยู่พักใหญ่มาก ๆ แล้วระหว่างรอรถบัสกลับมาที่สถานีเคเบิ้ลคาร์ หิมะก็ตกปรอย ๆ พอดี ถ่ายรูปกันต่ออย่างสนุกสนานได้อีก

เคโกะเองมาเจอหิมะหลายรอบแล้ว ก็ยังสนุกแบบหนาว ๆ อยู่ค่ะ 555

วนกลับมาที่ Tenran Cafe อีกรอบนึง คราวนี้เราเข้าไปนั่งจิบชา ชิมขนมรอพระอาทิตย์ตกดินค่ะ

DSC_6223

เพื่อน ๆ สั่งแพนเค้กมาทานเล่น ตัวเคโกะเองก็เป็นเค้กเซ็ทมีชาร้อนด้วย

IMG_4265

แพนเค้กก็นุ่มอร่อยดีอยู่ค่ะ ส่วนเค้ก เคโกะว่าเฉย ๆ นะ

IMG_4266

พระอาทิตย์ตกดินแล้วก็ถ่ายรูปอีกนิดหน่อย ก่อนจะลงเขากลับที่พักกันค่ะ

DSC_6226

จริง ๆ ส่วนตัวแล้วก็ยังมองว่าสามารถเที่ยวในเมืองโกเบ 1 วันและที่บนเขารกโกะ 1 วันได้นะคะ เพียงแต่ว่าเที่ยวนี้มีเวลาให้ 1 วันกับโกเบค่ะ ในฐานะที่เคโกะเป็นคนวางแพลนทริปทั้งหมดก็เลยเลือกเอาที่น่าสนใจ รวบรัดให้ลงได้ใน 1 วันอะนะคะ ก็เลยดูจะกระชับและรวบรัดไปหน่อยนึง ^^”

เกาะหน้าเพจกันได้ค่ะ https://www.facebook.com/thisiskeigo/

แล้วเจอกันใหม่ในโพสต์ถัดไปค่ะ อาจจะมีเซอร์ไพรส์ มีรีวิวอะไรบางอย่างจะมาลัดคิว 5555 

 

Uji

สวัสดีค่ะ โพสต์นี้ขอเล่าถึงเมืองเล็ก ๆ เมืองนึงที่เคโกะรู้สึกว่าน่าสนใจดี กับเมืองที่ชื่อว่า “อุจิ” หรือ Uji (宇治市) ค่ะ

เมืองนี้ จริง ๆ เคโกะได้ยินชื่อมาจากพี่ชายที่เคยอยู่ญี่ปุ่นมาแล้วหนนึง เค้าแนะนำเมืองนี้มาให้ ซึ่งอยู่ในภูมิภาคคันไซ ไม่ไกลกันนักกับโอซากะหรือเกียวโต (หากยึด 2 เมืองนี้เป็นจุดศูนย์กลางอะนะคะ) เคโกะเองที่เป็นคนวางแพลนทริปญี่ปุ่นนี้ทั้งหมด ก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ ยัดเมืองนี้ลงไปในแพลนเฉยเลย (555)

เอาล่ะ เมืองนี้มีอะไรดี ?

สำหรับคอชา ชอบดื่มชา ชอบชาเขียว จะต้องรู้จักเมืองนี้ค่ะ เพราะเมืองนี้มีชาเขียวที่โด่งดังมาก ๆ เรียกได้ว่า ชาเขียวชั้นดีต้องมาจากเมืองนี้เท่านั้นเลยล่ะค่ะ บางแพกเกจจิ้งที่มีชาเขียวเป็นส่วนประกอบก็มักจะอ้างถึงบ่อย ๆ ว่าเป็นชาเขียวอุจิ หรือ อุจิมัทฉะ เลยเชียวนะ อะไรทำนองนี้ค่ะ

เคโกะเดินทางมาเมืองนี้จากนารานะคะ ซึ่งถ้าดูแผนที่แล้ว ก็จะเป็นทางเดียวกันค่ะ แล้ววนกลับเข้าโอซากะได้เลยด้วย คือดีย์~ (อย่างที่บอกไปแล้วว่าเคโกะใช้วิธีไปเช้าเย็นกลับ พักที่เดิมตลอดทั้งทริปนะคะ)

เรานั่งรถไฟมาถึงอุจิแล้วก็แวะศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวซักเล็กน้อย ถามนู่นนี่นั่น แล้วก็ได้แผนที่และเส้นทางการเดินเยี่ยมชมมาค่ะ เรามีเวลากันน้อย พนง.เลยแนะนำได้แค่ไปชมพิธีชงชา และวัดเบียวโดอิน (Byodoin Temple) ค่ะ

ออกจาก JR Uji station เราเลี้ยวซ้าย แล้วเดินตรงไปเรื่อย ๆ ระยะทางประมาณ 2 ท้อใจ (กลางอากาศที่หนาวอยู่ ถ้าอากาศสบาย ๆ น่าจะแค่ท้อใจเดียวค่ะ 555) ก็จะเจอกับโทริอิหน้าตาประมาณนี้ แปลว่าเรามาจวนจะถึงแล้วค่ะ

DSC_6114

ก็เลี้ยวขวาเดินไปตามถนนแคบ ๆ เลยค่ะ ตลอดทั้งเส้นนี้ก็จะมีร้านของกินเล่น และร้านขายชาเขียวทั้งสองฝั่งถนนเลยค่ะ คืออะไร ๆ ก็เป็นชาเขียวไปหมดอะ คอชาอย่างเคโกะเห็นแล้วก็แทบอยากพุ่งใส่ซะทุกร้านเลยค่ะ 555

พอเดินผ่านวัดเบียวโดอินมานิดหน่อย จะมองเห็นแม่น้ำอุจิ ซึ่งจริง ๆ แล้วในเว็บ japan-guide เองบอกว่ามีการล่องเรือชมวิวทิวทัศน์ด้วย แต่น่าจะเพราะอากาศหนาว น้ำในแม่น้ำเลยแห้ง ๆ และมีการก่อสร้างอย่างที่เห็นด้วยค่ะ (ข้อมูลวันที่ไป 24 Jan 2018 ค่ะ)

DSC_6118

มีป้ายบอกทางอยู่ ไม่หลงแน่นอนค่ะ

DSC_6119

และเนื่องจากเรามาถึงก็บ่ายมากแล้ว ก็เลยพุ่งไปที่ Taihoan Teahouse ก่อนเลยค่ะ ซึ่งจะตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ที่อยู่ใกล้ ๆ กับวัดเบียวโดอินค่ะ ค่าบริการในการเข้าร่วมชมพิธีชงชานั้น สนนราคาอยู่ที่ 500Y ค่ะ

IMG_4187

ชำระเงินเรียบร้อยแล้ว พนง.ก็จะเชิญเราไปที่เรือนใกล้ ๆ กัน เพื่อวางสัมภาระและถอดเสื้อชั้นนอกออก (เสื้อกันหนาวอะไรงี้ค่ะ) และเข้าไปนั่งในห้องพิธีชงชาค่ะ

DSC_6116

ตลอดพิธีชงชา จะมีพนง.อธิบายเป็นภาษาอังกฤษตามลำดับขั้นตอนจนกระทั่งจบพิธีการค่ะ

บรรยากาศในห้องชงชานะคะ เคโกะขอเค้าถ่ายตอนที่เสร็จพิธีแล้วค่ะ แต่ในระหว่างพิธีนั้น ห้ามถ่ายรูปค่ะ

IMG_4188

สำหรับการชงชานั้น เคโกะถามเพื่อน ๆ แล้ว เพื่อน ๆ ก็ไม่ใช่คอชาเท่าไหร่อะนะคะ ก็เลยจะว่าเฉย ๆ แต่สำหรับตัวเคโกะเองที่ชอบดื่มชาอยู่แล้ว ก็เลยรู้สึกว่ามันอร่อยมากกกกกกค่ะ

เพราะงั้นก็แล้วแต่รสนิยมแต่ละคนนะคะ ถ้าชอบดื่มชา โดยเฉพาะชาเขียวมัทฉะด้วยแล้ว เคโกะแนะนำอย่างแรงค่ะ ^^

จากนั้นเราก็เดินกลับไปเข้าวัดเบียวโดอินต่อ มีค่าเข้าด้วยราคา 600Y ค่ะ

วัดนี้มีอะไรดี?

วัดนี้คือวัดที่อยู่ด้านหลังของเหรียญ 10 เยนค่ะ ^^

จ่ายค่าเข้าวัดเสร็จ ก็จะเจอกับมุมนี้ ซึ่งเป็นด้านหน้าวัดนะคะ ยังไม่ใช่ภาพวัดที่อยู่ด้านหลังเหรียญ 10 เยนค่ะ

DSC_6121

เดินวนมาด้านหลังค่ะ

DSC_6127

เอียง ๆ หน่อย ใช่มั้ยน้าาาา

DSC_6144

เป๊ะเลยค่ะ ^^

IMG_4198

ถ่ายรูปกันตรงนี้จนหนำใจแล้วก็เดินต่อไปอีกนิดหน่อยค่ะ จะมีพิพิธภัณฑ์เบียวโดอิน (Byodoin Museum) อยู่ สามารถเข้าไปเดินชมได้ ไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มค่ะ

DSC_6148

ด้านใน ถ้าจำไม่ผิด ก็จะจัดแสดงพวกข้าวของเครื่องใช้ยุคสมัยก่อนรวมไปถึงศิลปะทางพุทธศาสนาหรือชินโตด้วยอะค่ะ

พอวน ๆ ด้านในเดินออกมาก็จะคล้าย ๆ กับว่าเดินวนรอบวัดค่ะ (ด้านในวัดต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกหน่อย ถึงเข้าด้านในได้ — พวกเราเลือกที่ไม่เข้านะคะ)

แค่รอบ ๆ ก็มีมุมสวย ๆ ให้ถ่ายรูปเยอะเลยค่ะ

DSC_6153

สะท้อนกับพื้นน้ำกันไป เจอช่างภาพมาก้ม ๆ เงย ๆ เก็บช็อตภาพสะท้อนผืนน้ำกันอยู่เหมือนกันนะคะ

DSC_6159

ขากลับ เราก็แวะชิมขนมกินเล่นซะหน่อย เลือกมาได้เป็นทาโกะยากิชาเขียวและเกี๊ยวซ่าชาเขียวค่ะ

IMG_4200IMG_4202

จากนั้นก็เดินช้อปปิ้งของที่ระลึกเกี่ยวกับชาเขียว ๆ เสียหน่อย

เคโกะไปได้คิทแคทชาโฮจิฉะเมืองอุจินี้มาจากร้านแถว ๆ นี้ล่ะค่ะ ซึ่งถ้าตัดความหวานเวอร์ของคิทแคทออกไปแล้ว อร่อยมากกกกกกค่ะ แนะนำเช่นกัน ซึ่งตัวนี้เคโกะยังไม่เห็นที่อื่นเลยนะคะ นอกจากที่นี่อะค่ะ ^^”

เสร็จสรรพ เราก็โต้ลมหนาวกลับไปที่สถานี เพื่อนั่งรถไฟกลับที่พักกันค่ะ

DSC_6164

โดยรวมแล้วกับเมืองนี้ ถ้าชอบชาเขียว ก็มาเถอะค่ะ ^^”

ติดตามกันในโพสต์ถัดไปนะคะ จะรีบไล่เรียงทริปญี่ปุ่นให้เสร็จไว ๆ ค่ะ แต่จะขอหายแว้บไปซักสามสี่วันก่อนนะ แหะๆ

ระหว่างนี้ไปพูดคุยหรือทักทายกันที่เพจได้ค่ะ
https://www.facebook.com/thisiskeigo/

 

American Mura & Donki Ferris Wheel, Osaka

สวัสดีค่ะ โพสต์นี้มารวบ 2 ที่เที่ยวในเมืองโอซากะ เล่าในโพสต์เดียวกันเลยนะคะ จริง ๆ ตอนที่แพลนไว้ เคโกะว่ามันน่าสนใจอะ แต่พอเอาเข้าจริง ๆ แล้วดูไม่ค่อยจะน่าสนใจกันเลย ><~

Spot name : American Mura / หมู่บ้านอเมริกา
Location : Osaka (เหมือนไม่ช่วยเนอะ 555) คือมันเป็นย่านที่กินบริเวณพอสมควรอยู่ค่ะ ไปได้หลายทาง
Access : ตามนี้เลยนะคะ
– สถานี Shinsaibashi Exit14 เดิน 7 นาที
– สถานี Yotsubashi เดิน 3 นาที
– ลงสถานี Namba เดิน 7 นาที
– สถานี Osaka namba เดิน 7 นาที
– สถานี JR Namba เดิน 8 นาที
Opening hours : n/a
Website : http://americamura.jp/en/index.php
Visited date : 20 Jan 2018

พวกเราใช้วิธีดร็อปจุดในกูเกิ้ลแม็พเอา แล้วก็เดินตามทางค่ะ ระหว่างทางเดินไป ก็ฝ่าดงย่าน Namba ย่านช้อปปิ้งสุดโปรดของเพื่อนคนนึงในกลุ่มไป แล้วก็เดินผ่านร้านครัวซองส์ที่เพื่อนว่าร้านนี้ดังและอร่อย ก็จัดไปค่ะ

IMG_4048

โดยส่วนตัวเคโกะนะ ถ้าไม่ใช่ครัวซองส์ที่ประยุกต์เป็นแบบใส่ไส้แล้ว มันเฉย ๆ มากค่ะ

ชิมขนมกันเสร็จแล้วก็เดินต่อไป จุดแรกที่เจอก็คือลานวงกลมตรงนี้ ดูเหมือนเป็นจุดนัดพบกันของหนุ่มสาว แล้วก็ที่นั่งเม้าท์มอยอะไรงี้อะค่ะ

DSC_5824

ย่านนี้ถือเป็นย่านช้อปปิ้งย่านนึงเลยค่ะ แต่ด้วยความที่ชื่อย่านนี้ก็คือหมู่บ้านอเมริกา (แปลตรงตัวมาจากชื่อภาษาญี่ปุ่น) เพราะฉะนั้นสินค้าส่วนใหญ่ก็จะไม่ได้ดูเป็นญี่ปุ่นจ๋าเท่าไหร่ จะออกแนวโมเดิร์น ๆ อาร์ตๆ อะไรงี้มากกว่านะคะ ซึ่งก็รวมไปถึงสีสันตามท้องถนนสองข้างทางด้วยที่ดูจะผิดแผกไปจากญี่ปุ่นสไตล์อยู่พอดูทีเดียว

DSC_5825

ร้านหนึ่งในที่เค้าแนะนำ ๆ ก็คือ Alice on Wednesday เป็นร้านที่เพนท์กำแพงสวยดี ตอนที่ไปก็มีการต่อคิวหน้าร้านด้วย .. เอาน่ะ น่าจะน่าสนใจนะ

จะมีพนง.ร้านอยู่หน้าร้านคอยต้อนรับอยู่ แล้วก็จะให้เข้าไปในร้านครั้งนึงไม่กี่คนค่ะ เข้าใจว่าร้านแคบและเล็ก เลยไม่อยากให้แออัดไปล่ะนะคะ

DSC_5829

ในร้านก็เป็นของจุ๊กจิ๊กน่ารัก ๆ ค่ะ ราคาก็พอใช้ได้เลย ไม่แพงเวอร์เกินไปค่ะ

อย่างที่บอก เป็นย่านช้อปปิ้งที่กลุ่มเราดูจะไม่ค่อยสนใจกันเท่าไหร่ เดินกันอยู่แป๊บ ๆ เราก็ไปต่อกันที่ของตายของคนไทยอย่างร้านดองกิโฮเต้ หรือ ดองกี้ที่คนไทยรู้จักกันดีค่ะ

วันที่เราไปนั้น ตัวชิงช้าสวรรค์ที่อยู่ด้านบนของร้านดองกี้ นัมบะนั้นเพิ่งเปิดได้สองสามวันเอง สนนราคาการขึ้นชมก็แค่ 600 เยนเท่านั้น ก็เลยจัดไปค่ะ

ก่อนจะนั่งชิงช้าสวรรค์ พนง.จะแจกซองพลาสติกใสสำหรับใส่มือถือให้คล้องคอด้วย ตัวชิงช้าสวรรค์เองก็ดูไม่ค่อยจะปลอดภัยเท่าไหร่ คือเป็นที่นั่งโล่ง ๆ เลยค่ะ แล้วจะหมุนตัวไปหันหน้าเข้าหากับผนังกระจกที่ให้เรานั่งดูวิวได้

จริง ๆ ก็ปลอดภัยแหละ แต่ก็แอบมีความรู้สึกนิดนึงว่ามันก็โล่ง ๆ อะ ><~

ดูวิวมุมสูงกันค่ะ

DSC_5840

มองลงไปข้างล่างบ้าง สูงอยู่น้าาาาา

DSC_5841

มีเป็นคลิปสั้น ๆ มาให้ดูด้วยค่ะ ในคลิปยังไม่ขึ้นถึงจุดสูงสุดแบบในรูปข้างบนนะคะ

 

จากนั้นพวกเราก็มานั่งจุมปุ๊กหนีหนาวอยู่ในร้านใกล้ ๆ กันนั้นร้านนึง ก็สั่งเค้กมาชิมกันค่ะ ซึ่งพวกเราไม่แน่ใจว่าสื่อสารกันไม่เข้าใจหรือยังไง เพราะสุดท้ายแล้วออเดอร์พวกเราได้ไม่ครบค่ะ

หน้าเคาน์เตอร์มีดิสเพลย์ราเม็งลอยได้แบบนี้ เก๋ดีอ่า

IMG_4058

เค้กชิ้นเล็ก ๆ 2 ชิ้น เนื้อเค้กจะหนัก ๆ หน่อย คล้าย ๆ พวกบัตเตอร์เค้กค่ะ แต่ชาเขียวอร่อย

IMG_4060

แล้วอีก 2 เมนูก็เป็นไอศกรีม .. มานั่งในร้านอุ่น ๆ แก้หนาว แต่กินไอศกรีมเพื่ออออออ …?

IMG_4061

ไอศกรีมเค้าตกแต่งสวยอยู่ รสชาติก็ปกติค่ะ ทั่ว ๆ ไปไม่ได้โดดเด่นหรือว้าวอะไรเลย

IMG_4062.jpg

อย่างที่ว่า ไม่รู้พวกเราสื่อสารกับพนง.ไม่เข้าใจหรืออย่างไร ออเดอร์ไม่ครบค่ะ รอจนเพื่อนเซ็ง ก็เลยไปเช็คบิลดีกว่า ถึงได้รู้ว่าที่สั่งไปอีกอย่างนึงนั้นหายไปแล้ว รอไปก็ไม่มาอะค่ะ  – -”

ก็ปิดท้ายโพสต์นี้ด้วยความเฟล ๆ เล็กน้อย ไว้กลับมาติดตามกันโพสต์หน้านะคะ แฮปปี้กันถ้วนหน้าละ (มั้ง ^^”)

ระหว่างนี้ ฝากเพจกันไว้ แวะไปทักทายพูดคุยกันได้ค่ะ >> https://www.facebook.com/thisiskeigo/

Sumiyoshi Taisha, Osaka

สวัสดีค่ะ โพสต์นี้โยกย้ายข้ามมาญี่ปุ่นกันบ้างซะทีนะคะ หลังจากติดแหง่กอยู่ในไต้หวันซะยาวนานเลย ^^”

เริ่มต้นทริปญี่ปุ่นช่วงหน้าหนาว ที่มาลงรีวิวเอาตอนหน้าร้อนนี่แหละ (^^”) กันที่ศาลเจ้าที่ได้ชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น และมีวิวสวยงามกันนะคะ

Location name : Sumiyoshi Taisha Shrine
Access : Nankai Main Line, transfer to Sumiyoshi Taisha station and walk about 5 min.
Website (English) : http://www.sumiyoshitaisha.net/en/
Admission Fee : Free
Opening hours : 6.30 – 17.00 (Oct. – Mar.) / 6.00 – 17.00 (Apr. – Sept.)
Visited date : 20 Jan 2018

พอมาถึงสถานีรถไฟ Sumiyoshi Taisha แล้วก็สบายค่ะ จะมีป้ายบอกทางว่าให้ไปทางไหน ก็เดินตามป้ายได้เลย ในสถานีเองก็มีแผนที่อยู่ แต่เป็นภาษาญี่ปุ่นค่ะ

เดินออกมาตามทางตรงไปเรื่อย ๆ ก็จะเจอถนนคั่นอยู่ด้านหน้าที่มีรถรางสีสันสดใสผ่านแบบนี้

DSC_5794

ข้ามถนนไปก็ถึงประตูทางเข้าศาลเจ้าเลยค่ะ

DSC_5795

ผ่านโทริอิต้นใหญ่ไปต่อเลยค่ะ

เคโกะไปช่วงต้นปีเนอะ ผู้คนก็ยังอยู่ในช่วงที่ออกมาทำบุญเข้าวัดเข้าวา เข้าศาลเจ้าขอพรหลังวันปีใหม่กันอยู่ล่ะค่ะ คนเยอะเลยทีเดียว

DSC_5798

ศาลเจ้าที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น การจัดวางของศาลเจ้าแต่ละหลังก็จะยังคงแบบดั้งเดิมไว้ค่ะ

ผู้คนต่อแถวยาวเลยทีเดียว ไปต่อแถวกันบ้างค่ะ พาเพื่อนมา เพื่อนก็ลิ่ว ๆ ไปต่อคิวแบบไม่ต้องถามเลย 55

DSC_5806

มีเสี่ยงเซียมซีตามสูตรด้วยค่ะ ถ้าได้ใบที่ไม่ดีก็มาผูกไว้กับราวที่ทางศาลเจ้าจัดไว้ให้นะคะ แบบนี้เลย

DSC_5807

เดินวนชมศาลเจ้าด้านในกันไปเรื่อย ๆ ค่ะ

DSC_5809

ด้านในศาลเจ้าก็มีอาณาบริเวณค่อนข้างกว้างขวางอยู่เหมือนกัน มีสะพานข้ามสระเล็ก ๆ ด้วย มีเป็ดเริงร่าอยู่หลายตัวเชียวค่ะ

DSC_5815

พอวนกลับออกมา ก็เจอกับพิธีแต่งงานตามธรรมเนียมญี่ปุ่นด้วย เลยแอบยืนดูเค้าอยู่พักนึงค่ะ เพิ่งเคยเห็นแบบจริงจังใกล้ชิดเลยนะคะเนี่ย

DSC_5818

ตู้โทรศัพท์ที่นี่ก็ทำกิมมิคเข้ากับศาลเจ้าดูเก๋ ๆ ไปอีกค่ะ

DSC_5819

แล้วก็มาถึงจุดถ่ายรูปที่เค้าว่าสวยมาก ๆ ค่ะ คือด้านข้างของสะพานแดง แต่พอดีช่วงที่เคโกะไป น้ำไม่ค่อยนิ่งเนอะ เลยดูสะท้อนไม่ค่อยชัดและงามเท่าไหร่เลยค่ะ ^^”

DSC_5821

ปิดท้ายด้วยไส้กรอกที่ขายอยู่บริเวณหน้าศาลเจ้า รสชาติธรรมดาๆ เลยค่ะ ซื้อชิมเพราะแอบคิดถึงไส้กรอกไต้หวันไรงี้ล่ะค่ะ 5555 (ทั้ง ๆ ที่ตอนที่ไปญี่ปุ่น เคโกะก็เพิ่งกลับมาจากไต้หวันได้ไม่กี่วันอ่ะนะ – -“)

เอาล่ะ โดยรวม ๆ ก็เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ที่มีวิวสะพานแดงสวย น่ามากราบไหว้และเดินถ่ายรูปเล่นค่ะ

เจอกันในโพสต์หน้านะคะ จะพยายามโพสต์ให้ไว ๆ ค่ะ แหะๆ ^^”

ระหว่างนี้ไปเม้าท์มอยกันที่เพจ https://www.facebook.com/thisiskeigo/ กันก่อนได้นะคะ ^^