Bukit Batok Nature Park

สวัสดีค่ะ โพสต์นี้จะพูดถึง Nature Park แห่งนึงของสิงคโปร์ ซึ่งถามว่ามีอะไรน่าสนใจ คุ้มค่ากับการถ่อไปมั้ย เคโกะว่า ไม่ค่อยคุ้มกับการดิ้นรนไปให้ได้ขนาดนั้นอะค่ะ ><~

Spot Name : Bukit Batok Nature Park
Location : Bukit Batok East
Access : Take MRT to Beauty world station exit C, transfer to bus no. 61, 66,970,985 to Opp Autobacs bus stop
Google Maphttps://goo.gl/maps/MB7sABLSYLy
Visited date : 13 Apr 2018
More informationhttps://www.nparks.gov.sg/gardens-parks-and-nature/parks-and-nature-reserves/bukit-batok-nature-park

เคโกะหารีวิวอ่านแล้วไปเจอที่นี่โดยบังเอิญล่ะค่ะ เจ้าของกระทู้ที่รีวิวก็บอกอยู่เหมือนกันว่าก็ไม่ได้น่าสนใจอะไรขนาดนั้น แต่ไหน ๆ ก็ไปแล้วไง ก็เลยลองไปดูให้รู้ค่ะ ^^”

ไปถึงก็ลงรถเมล์ตามป้าย ตามพิกัด ตามกูเกิ้ลแม็พเป๊ะเลยค่ะ หน้าตาก็จะประมาณนี้

IMG_5394

จากนั้นก็เดินไปตามถนน ข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้ามค่ะ สวน Bukit Batok นี้จะอยู่ฝั่งขวามือ

เมื่อข้ามถนน เดินมาถึงปากทางเข้า Nature Park แล้ว ก็จะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของที่นี่ว่าจะต้องมีแผนที่ให้ดูค่ะ

IMG_5396

เคโกะก็ดูบ้าง ไม่ดูบ้างนะ ^^”

เดินดุ่ม ๆ เข้าไปด้านในโลดค่ะ

ทางเดินส่วนใหญ่เป็นทางที ปูตัวหนอนเดินง่าย เดินสบายเลย

IMG_5397

เดิน ๆ ต่อไปเข้าด้านในค่ะ ถนนที่เดินก็ยังโอเคดีอยู่

DSC_6909

เดินไปตามทางจนถึง 4 แยกนี้ เคโกะก็เดินตรงต่อไปเรื่อย ๆ นะ ถ้าจำไม่ผิด ในแผนที่จะบอกอยู่ค่ะว่าผาแดงที่กำลังจะไปดูเนี่ย อยู่่ตรงไหน และตามทางเดินเองก็จะมีป้ายชี้บอกทางอยู่เป็นระยะ ๆ เช่นกันค่ะ

DSC_6910

เดิน ๆ ต่อไปอีกพักนึง ก็มาถึงผาแดงจนได้

ก็เป็นผาแดงเล็ก ๆ อะค่ะ ไม่ได้ใหญ่โตเวอร์วังอลังการอะไร เท่าที่สังเกตดูคนที่นี่ก็มักจะมาวิ่งออกกำลังกายมากกว่าที่จะมาชมนกชมไม้แบบเคโกะค่ะ 555

DSC_6912

อีกซักมุมเนอะ ตรงจุดที่ยืนถ่ายรูปเนี่ย เห็นชัดเลยค่ะว่าเป็นจุดที่มีคนมายืนถ่ายรูปตรงนี้กันเยอะมาก ๆ เลย

DSC_6923

บิดมุมซักหน่อย เป็นแบบสะท้อนพื้นน้ำบ้าง

DSC_6926

แบบพาโนราม่าบ้างค่ะ ก็จะเห็นชัดเลยเนอะว่าไม่ได้ใหญ่โตอลังการอะไรเลยค่ะ

IMG_5399

เดินถ่ายรูปวนอยู่พักใหญ่ ก็เดินกลับมาทางเดิม

เจอศาลากับต้นไม้รอบ ๆ ดูร่มรื่น ถ่ายรูปเล่นต่อได้อีก ><”

DSC_6935

จากนั้น ก่อนที่จะออกจากสวนแห่งนี้ ก็นึกได้ว่าในแผนที่มีพูดถึงสิ่งปลูกสร้างระลึกถึงสงครามโลกด้วย ก็เลยเดินวนหาดูสักหน่อยค่ะ

ระหว่างทางเคโกะไม่ได้ถ่ายรูปมา แต่ค่อนข้างชันอยู่บางช่วงค่ะ ใส่รองเท้าที่เกาะพื้นได้ดีมาด้วยนะคะ ^^”

คาดหวังว่าจะต้องเป็นรูปปั้น หรืออนุสาวรีย์อะไรใหญ่โต แต่มาถึงก็เจออยู่แค่นี้ …

IMG_5408

แอร๊ยยยย ช่างดูไม่ค่อยน่าดึงดูดใจให้มาซะเลยจริงๆ ค่ะ

เอาเป็นว่า ถ้าเวลาเหลือ ไม่มีที่ไป และชอบเดินออกกำลังกาย ก็มาได้ค่ะ จริง ๆ แล้วก็มีจุดถ่ายรูปสวย ๆ อยู่บ้างนะ แต่ถ้าตั้งใจมาดูผาแดง เคโกะว่า ขอเชิญที่อื่นน่าจะดีกว่าค่ะ ที่นี่ก็ตามรูปที่แปะให้ดูนั่นแล …

แล้วก็ขอตัดจบกันดื้อ ๆ ห้วน ๆ แบบนี้เลยนะคะ และสามารถติดตามพูดคุยทักทายกันต่อได้ที่
https://www.facebook.com/thisiskeigo/

Lotus pond & Dragon Tiger Pagodas

สวัสดีค่ะ ยังวนเวียนในไต้หวันกันอยู่นะคะ โพสต์นี้จะเป็นที่เที่ยวยอดฮิตที่นักท่องเที่ยวไปกันเยอะ ไม่ได้แหวกแนวอะไรละค่ะ แหะๆ

Spot name : Lotus pond & Dragon Tiger Pagodas
Location : Kaohsiung, Taiwan
Access : Zuoying THSR / Xin Zuoying TRA / Zuoying KMRT and walk around 10 min
Entrance fee : Free
Opening hours : always open
Visited date : 12 March 2018

เคโกะเองจองที่พักไว้แถว ๆ สถานี Zuoying อยู่แล้วอะนะคะ ก็เลยเปิด Google maps แล้วก็เดินตามโลด จากตัวสถานีเองก็จะค่อนข้างไกลนิดนึง เดินประมาณ 2 ท้อใจก็ถึงค่ะ แล้วก็รู้สึกท้อต่อเพราะอาณาบริเวณค่อนข้างกว้างมาก ๆ กว่าจะเดินวนไปครึ่งรอบสระเพื่อไปฝั่งที่มีเจดีย์คู่มังกรเสือก็เดินเหนื่อยอยู่ค่ะ แต่ดูวิวไปพลาง ๆ ก็พอทำให้รู้สึกหายเหนื่อยได้อยู่นะ

เดินมาถึงสระที่กว้างใหญ่ เห็นเจดีย์คู่อยู่ลิบ ๆ นั่นก็แอบท้อนิด ๆ ค่ะ เพราะต้องเดินอ้อมสระน้ำไปหา

DSC_6770

ระหว่างเดิน ๆ ไปก็ส่องจากระยะไกล ๆ ไปเรื่อย ๆ ก่อน

วิวสระน้ำกว้าง ๆ แบบนี้ ก็รู้สึกผ่อนคลายได้บ้างอยู่เหมือนกันนะคะ

DSC_6774

รอบ ๆ สระน้ำ จะมีแผนที่บอกจุดท่องเที่ยวสำคัญอยู่ค่ะ (ภาษาจีน) ถ้าดูกันให้ดี ๆ แล้ว รอบ ๆ สระนี้จะมีวัดเรียงรายอยู่เต็มไปหมดเลยค่ะ

IMG_5054

แบบภาษาอังกฤษก็จะหาอ่านได้ในวิกิฯ นะคะ แต่ก็จะไม่มีรูปให้ดูแบบเข้าใจง่าย ๆ อย่างในรูปข้างบนค่ะ
https://en.wikipedia.org/wiki/Lotus_Pond,_Kaohsiung

เดิน ๆ เข้าไปใกล้อีกนิด จะเจอกับวัดแห่งนึงชื่อว่า Pei Chi Pavilion (北極亭 – เป่ยจี๋ถิง) ที่จะมีรูปปั้นเทพเจ้าเซวียนเทียนช่างตี้อยู่ค่ะ มองเห็นได้แต่ไกลเลย

DSC_6779

ไปค่ะ ไปดูกันใกล้ ๆ

DSC_6782

ดูใกล้ ๆ รู้สึกว่าน่าเกรงขามมาก ๆ เลยค่ะ

DSC_6785

ด้านใต้รูปปั้นจะมีลักษณะเหมือนวัดค่ะ เข้าไปกราบไหว้ได้ มีเครื่องรางให้เช่าบูชาด้วย

จากนั้นเคโกะก็เดินไปต่อค่ะ มีเจดีย์อะไรสวย ๆ อยู่ตรงหน้าอีกจุดหนึ่งแล้วค่ะ

DSC_6794

ตรงนี้ค่อยดูเป็นสระบัวหน่อยเนอะ ^^”

ช่วงที่ไป (เดือนมีนาฯ) ดูดอกบัวออกจะไม่ค่อยบานเท่าไหร่ค่ะ ดูแล้ง ๆ เหี่ยว ๆ พอสมควรเลยค่ะ ^^”

เดินใกล้เข้าไปอีกนิด ที่นี่ก็คือ Spring and Autumn Pavilions (春秋閣 – ชุนชิวเก๋อ) ซึ่งศาลาด้านในสุดก็จะมีชื่อว่า 五里亭 (อู๋หลี่ถิง) ค่ะ

DSC_6799

ด้านหน้าจะเป็นมังกรตัวใหญ่ยาวที่สามารถเข้าไปเดินภายในตัวมังกรได้ค่ะ

DSC_6806

ด้านในก็จะเป็นรูปวาดบอกเล่าเรื่องราวศาสนาในแบบความเชื่อของคนจีนที่นี่ค่ะ

DSC_6809

เดินไปศาลาด้านในสุด วิวดี บรรยากาศดีมากเลยทีเดียวค่ะ

DSC_6812

จากศาลาอู๋หลี่ถิงก็จะมองเห็นเจดีย์คู่ได้ชัดขึ้น สะท้อนเงากับน้ำนิ่งในสระ ก็ดูสวยเก๋ไปอีกแบบค่ะ

DSC_6815

วิวฝั่งตรงข้ามบ้าง ซึ่งก็จะเป็นทิศที่เคโกะเดินมาถึงสระบัวแห่งนี้ล่ะค่ะ

ดูแล้วรู้สึกมั้ยอะว่ามันไกลมากจริง ๆ ><~

DSC_6817

พักถ่ายรูป พักเหนื่อยกันพอสมควรแล้วก็เดินต่อไปที่พระเอกของงานนี้ค่ะ

ที่นี่ก็คือเจดีย์คู่ หรือ Dragon and Tiger Pagodas (龍虎塔 – หลงหูถ่า) ซึ่งเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวเยอะมาก ๆ ค่ะ ด้านหน้าของเจดีย์ ฝั่งตรงข้ามถนนด้านหน้านั้นมีร้านขายของที่ระลึกเรียงรายหลายร้านเลยล่ะค่ะ

DSC_6826

ตรงนี้เราก็สามารถเดินลอดหัวมังกรแล้วไปออกทางปากเสือของอีกฝั่งนึงได้ค่ะ

รูปนี้เคโกะถ่ายจากด้านหลังของมังกรและเสือออกมาด้านหน้านะคะ

DSC_6829

จากนั้นก็ออกจากบริเวณนี้ค่ะ

เคโกะมองดูแผนที่เส้นทางในป้ายแสดงจุดท่องเที่ยวสำคัญที่ตั้งอยู่รอบ ๆ สระแล้วก็สังเกตเห็นว่ามีบ้านเก่าของหลากหลายตระกูลให้ไปเดินเยี่ยมชมกันด้วยล่ะค่ะ ไหน ๆ ก็มาแล้ว ก็เลยว่าจะไปลองเดินดูซะหน่อย แต่ครั้นจะเดินให้ครบทุกตระกูล ก็ไม่ไหวนะ (555) เลยขอเลือกเอาตระกูลของตัวเองค่ะ

บ้านเก่าตระกูลหลินค่ะ

เดินออกมาจากสระบัวได้สักหน่อย ก็จะเจอโมเดลจำลองถนนสายประวัติศาสตร์ของเขตจั่วอิงค่ะ ซึ่งก็รวมเอาบ้านเก่าตระกูลต่าง ๆ นั่นไว้ด้วยนั่นแหละค่ะ

IMG_5060

พยายามถ่ายรูปท็อปวิวให้พอมองเห็นภาพอะนะ ><

IMG_5061

เอาล่ะ เดินไปหาบ้านตระกูลหลินกันดีกว่าค่ะ

ไปถึงก็สตั๊นท์ไปสามวิฯ มีคนไปเดินดูเหมือนเคโกะด้วย เคโกะก็เลยแน่ใจขึ้นมาว่านี่แหละคืออดีตบ้านตระกูลหลินจริง ๆ ><

เริ่มจากกระเบื้องโบราณบนพื้นถนนก่อน

IMG_5065

แล้วก็บ้านเก่า .. เหลือแค่นี้เองเหรอเนี่ยยย…

IMG_5067

อีกมุมนึงค่ะ ถ่ายจากด้านในออกมาหน้าถนน

IMG_5068

แล้วหลังจากนั้นก็เลยเดินกลับออกไปอีกทางหนึ่ง เพื่อขึ้นรถเมล์ไปที่อื่นต่อ ซึ่งระหว่างทางก็ผ่านบ้านตระกูลอื่นอีกตระกูลนึง (จำไม่ได้แล้วว่าแซ่อะไรค่ะ) แต่ดูสภาพดีกว่าของตระกูลหลินมาก ๆ เลย ><

มีคนบอกว่า มาเกาสงแล้วไม่มาเดินชมเจดีย์คู่มังกรเสือ ก็เหมือนมาไม่ถึงเกาสงค่ะ ^^”

ก็ดูเป็นอะไรที่ A Must ต้องมาอะนะคะ แต่ถ้าสายบุญมา น่าจะถูกใจค่ะ วัดเยอะมาก ๆ จริง ๆ

แปะเพจปิดท้ายเช่นเคยค่ะ ^^
https://www.facebook.com/thisiskeigo/

QiShan @Kaohsiung

สวัสดีค่ะ ด้วยความที่มีเพื่อนชวนเพื่อนที่มีรถมารับไปเที่ยวด้วยวันนึงนั้น เลยทำให้แผนการเที่ยวของเคโกะสะดวกขึ้นเยอะเลย และก็ประหยัดเวลาการเดินทางไปได้มากเลยด้วยค่ะ ก็เลยได้โพสต์นี้มาเพิ่ม นอกเหนือจากแผนการเดินทางของเคโกะค่ะ

Spot name : Qishan (Cishan) / 旗山 / ฉีชาน
Location : Kaohsiung, Taiwan
Access : Gangshan South Station and take bus no.8012
Entrance fee : N/A
Opening hours : เปิดตลอด แต่ละร้านอาจจะเปิดร้านไม่เหมือนกันค่ะ
Visited date : 11 March 2018

ตอนที่เพื่อนพามาก็ไม่ได้คิดอะไรค่ะ แต่พอมาถึงแล้ว นึกไปนึกมาอีกที ก็กลายเป็นว่าเป็นที่ที่อยากมาอยู่แล้ว แต่ต้องตัดออกเพราะมายากพอสมควรเลย ก็กลายเป็นความบังเอิญที่เพื่อนพามาพอดีล่ะค่ะ ^^

โดยรวมก็จะเป็นถนนคนเดิน ให้เดินจับจ่ายช้อปปิ้ง กินขนม กินของว่างอะไรกันงี้อะนะคะ ซึ่งโปรดักส์ขึ้นชื่อของที่นี่ก็คือกล้วยค่ะ มองไปทางไหนก็จะเห็นกล้วยเต็มไปหมดเลย แต่โดยส่วนตัวก็จะเฉย ๆ ล่ะนะคะ เพราะในไทยเองก็มีเพียบไม่แพ้กัน 555

บนถนนคนเดินนี้ร้านรวงเปิดเยอะอย่างที่บอกล่ะค่ะ ซึ่งสองข้างทางก็จะเป็นตึกเก่า ๆ ดูคลาสสิคและเก๋ไปอีกแบบ

IMG_5031

เดินผ่านวัดจีน ดูเก่าๆ ขลัง ๆ ไปอีก

IMG_5023

สิ่งแรกที่เพื่อนพามากินก็คือเต้าหู้เหม็นค่ะ เท่าที่เคโกะชิมมานะคะ อยากจะทานให้อร่อย ก็ขอแนะนำว่าเป็นร้านนั่งทานไปเลยค่ะ จะครบเครื่องและรสชาติอร่อยกว่าตามตลาดกลางคืนที่เสียบไม้ ๆ ค่ะ

IMG_5024

สายเต้าหู้ไม่ควรพลาดจริง ๆ แต่เคโกะก็ยังรู้สึกว่าที่เคยทานในไถตง ที่เพื่อนอีกคนพาไปนั้น อร่อยกว่าที่ฉีชานนี่ค่ะ

เอาล่ะ เดินกันต่อไปค่ะ ด้านบนเข้าใจว่าอนุรักษ์ตึกโบราณไว้ ไม่ได้ใช้งานอะไรค่ะ ใช้งานเป็นร้านค้าแต่เฉพาะชั้นล่าง

IMG_5032

เดินไปเรื่อย ๆ จนสุดทางก็จะเป็นสถานีรถไฟฉีชาน (Qishan Station) ซึ่งเป็นสถานีรถไฟสายเก่า ปัจจุบันนี้ได้ยกเลิกไปแล้ว แต่ตัวสถานีเองก็ยังคงอนุรักษ์ไว้ กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวไปค่ะ

IMG_5025

ในสถานีเองก็เลยพัฒนากลายเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อม ๆ ที่จะเล่าถึงประวัติความเป็นมาของ Qishan นี้ค่ะ ตรงนี้จะมีค่าผ่านประตูด้วย 30NTD ค่ะ หางตั๋วสามารถเอาไปเป็นส่วนลดของกินเล่นได้ 15NTD ค่ะ (แต่ก็ไม่ได้ใช้ เพราะไม่รู้จะกินอะไรดี ฮาาาา)

IMG_5026

พอเข้ามาด้านในก็จะมีร้านค้าอยู่ (ในรูปที่เห็นไกล ๆ นั่นน่ะค่ะ) มีไอศกรีมรสกล้วยขายด้วย เพื่อนซื้อมาชิม เพื่อนก็บอกว่าไม่ค่อยอร่อยนักค่ะ แต่ส่วนตัวเองไม่ได้ซื้ออะไรกินเลย ฮาาาา

DSC_6744

เดินเข้าข้างในอีกนิดก็จะเป็นรางรถไฟพร้อมด้วยขบวนรถไฟรอต้อนรับอยู่ค่ะ

DSC_6746

ตัวขบวนรถไฟนั้นก็ได้ดัดแปลงให้กลายเป็นห้องสำหรับนั่งดู Simulation ผ่านอุปกรณ์คล้าย ๆ กับ Google Glass แต่ขนาดใหญ่กว่า ซึ่งพอสวมแล้ว เราก็จะมองเห็นภาพจำลองที่บอกเล่าเรื่องราวของ Qishan แห่งนี้ค่ะ (ภาษาจีน)

DSC_6748

จากนั้นด้านในตัวห้องของนายสถานีเองก็ยังมีเรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจด้วยค่ะ

DSC_6749

ภายในตัวอาคารของสถานีนั้น นอกจากจะมีแผ่นป้ายที่อธิบายประวัติความเป็นมาเฉกเช่นพิพิธภัณฑ์ทั่วไปแล้ว ก็จะยังมีซากหรือโครงสร้างเดิมในสมัยก่อนเก็บไว้ให้ได้ดูกันด้วยค่ะ

DSC_6750

ตั๋วโดยสารในยุคอดีตจนถึงปัจจุบันเลยค่ะ

DSC_6754

แล้วก็ยังมีการแสดงเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พอทำให้ดึงดูดสายตาได้อยู่

ในรูปก็จะเป็นคล้าย ๆ กลไกอัตโนมัติตามเวลาที่ตั้งไว้น่ะค่ะ คล้าย ๆ นาฬิกากุ๊กกูเนาะ ที่พอถึงเวลาขบวนรถไฟก็จะวิ่งออกมาให้เราเชยชมกันค่ะ รวมไปถึงรางด้านบนก็จะมีรถไฟวิ่งด้วย

DSC_6758

เดินเล่นกันพอสมควร ก็กำลังจะกลับ แต่ก็เหลือบไปเห็นสวนสาธารณะที่ใกล้ ๆ กันกับถนนคนเดิน และใกล้ ๆ กับที่เพื่อนจอดรถทิ้งไว้ด้วยค่ะ ก็เลยชวนกันไปเดินเล่นอีกสักหน่อย

นอกจากจะเป็นสวนสาธารณะแล้วก็มีทางเดินขึ้น เพื่อนก็อยากรู้ไปอีกว่าด้านบนมีอะไร เลยชวนกันเดินขึ้นไปค่ะ

IMG_5033

ด้านบนเป็นวัดขงจื๊อที่ใหญ่โตมากทีเดียวค่ะ

IMG_5034

แต่อาจจะเป็นเพราะเราไปค่อนข้างบ่ายแก่มากแล้ว คนก็เลยน้อย ๆ ค่ะ

IMG_5035

แล้วก็เจอกับทีมงานถ่ายรูปพรีเวดดิ้งด้วย

DSC_6761

เดินเล่นรอบ ๆ วัดไปมา ซึ่งวัดนี้ก็สวยดีนะคะ บวกกับเป็นที่สูง เลยทำให้มีลมพัดเย็นสบาย รู้สึกผ่อนคลายได้ดีทีเดียว พวกเราก็เลยมานั่งเล่น เม้าท์มอยอยู่ตรงนี้กันพักใหญ่ทีเดียวค่ะ

DSC_6762

จากนั้นก็ได้เวลากลับค่ะ ก่อนที่เพื่อนจะพาไปชมพระอาทิตย์ตกดินที่ Xiziwan และทานอาหารเย็นกันในสไตล์คน local แล้วก็แยกย้ายกันกลับ (ซึ่งส่วนหลังนี่ไม่มีรูปอะค่ะ ^^”)

ตัดฉับกันดื้อ ๆ ตรงนี้เลยแล้วกัน ไม่รู้จะแนะนำยังไงกับสถานที่แห่งนี้ เพราะการเดินทางก็ไม่ค่อยสะดวกเท่าที่ควร แม้จะมีรถเมล์มาถึง แต่ก็เป็นระยะทางที่ไกลเอาการเลยค่ะ ^^”

ฝากเพจปิดท้ายละกันเนาะ
https://www.facebook.com/thisiskeigo/

Taiwan Indigenous Peoples Cultural Park

สวัสดีค่าาาา เพื่อน ๆ ที่อยู่ในเมืองผิงตง (Pingtung) นั้นมักจะชอบพูดว่าเมืองนี้เป็นเมืองที่น่าเบื่อ ไม่มีอะไรเลยยยยย ซึ่งเคโกะว่าก็จริงครึ่งหนึ่งนะ (555) เพราะบางสถานที่เที่ยวบางที่อะ ไม่มีรถประจำทางไปค่ะ เลยทำให้รู้สึกว่าไม่มีที่เที่ยวไหนเลย เฉพาะในเมืองนี้นะคะ

แต่ก็นะ ก็ยังไม่วายหาที่ไปจนได้ค่ะ ซึ่งที่นี่นั้น ไปง่าย มีรถประจำทางไป มีรอบเวลารถบัสเป๊ะ ๆ เลย แต่ว่าก็ยังคิดอยู่ว่าควรจะมีความเข้าใจในความเป็นมาของไต้หวันสักนิดหน่อยก็จะดีค่ะ หรือไม่ก็ชอบแนวพิพิธภัณฑ์ หรือชอบแนว ๆ วัฒนธรรมพื้นเมืองไรงี้อยู่เป็นทุนเดิมซักหน่อยล่ะค่ะ น่าจะเข้าถึงและอินได้มากขึ้นนะคะ

Spot name : Taiwan Indigenous Peoples Cultural Park / 台湾原住民族文化园区
Websitehttps://www.tacp.gov.tw/tacpeng/home02_2.aspx?ID=4
Facebookhttps://www.facebook.com/tacp.tw/
Opening hours : 8.30-17.30 (closed on Monday)
Entrance Fee : 150NTD
Access : Taiwan 好行 bus no.508 from Pingtung Station (120NTD for 1-day ticket)
Visited date : 10 March 2018

เคโกะเริ่มต้นการเดินทางที่สถานีรถไฟผิงตงนะคะ เดินไปขึ้นที่ท่ารถบัสเหมือนโพสต์ก่อนหน้าที่ไปเกาะเสี่ยวหลิวฉิวค่ะ ซึ่งท่ารถจะอยู่ทางด้านซ้ายมือของสถานีรถไฟ ติดกับ 7-11 ค่ะ แล้วก็ไปที่บูธขายตั๋วเพื่อซื้อตั๋วแบบ 1-day pass มา (ราคา 120NTD) ซึ่งจริง ๆ จะไม่ซื้อก็ได้ จะแตะบัตร Easycard ก็ได้ค่ะ เพียงแต่ว่าซื้อแบบ 1-day pass ก็จะคุ้มกว่าและถูกกว่าจ่ายเป็นเที่ยว ๆ ไปค่ะ

IMG_4967

จุดที่ขึ้นรถบัสก็จะมีสัญลักษณ์ของรถบัส Taiwan 好行 อยู่ค่ะ

IMG_4968

นั่งรถไปจนสุดสายเลยค่ะ รถบัสก็จะมาจอดที่ด้านหน้าของ Cultural Park แห่งนี้

DSC_6623

แล้วก็เดินไปซื้อตั๋วเข้ากันค่ะ ราคา 150NTD ค่ะ

IMG_4974

พอเข้ามาด้านในแล้ว จะมี tourist information counter อยู่ ก็เดินเข้าไปขอแผนที่หรือขอคำแนะนำเส้นทางก็ได้ค่ะ

ในสถานที่นี้จะมีการแสดงโชว์พื้นเมืองตามจุดต่าง ๆ ด้วย แต่น่าเสียดายที่เคโกะไปผิดจังหวะไปหมดเลย ไม่ได้ดูโชว์อะไรสักอย่างเลยค่ะ T.T

ตอนที่ไป พนง.แนะนำให้ดูนิทรรศการความเป็นมาของชนเผ่าพื้นเมืองต่าง ๆ ของไต้หวันก่อน ซึ่งก็อยู่ติดกับ tourist information นั่นแหละค่ะ

ภายในไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปนะคะ

ตัวอาคารที่จัดแสดงจะมี 2 ชั้น ทางเดินจะเป็นทางเดียว วน ๆ ขึ้นไปชั้นสอง จะออกมาที่ทางออกได้ค่ะ ก็จะเจอสะพานเก๋ ๆ แบบนี้

DSC_6627

ที่ cultural park แห่งนี้มีอาณาบริเวณที่ใหญ่มาก ๆ ค่ะ แบ่งออกเป็นประมาณ 5 โซนด้วยกัน ซึ่งมีรถชัทเทิลบัสบริการฟรีค่ะ

จุดแรกที่ขึ้นรถชัทเทิลบัสก็จะหน้าตาประมาณนี้ค่ะ

DSC_6626

** สิ่งที่ต้องระวังก็คือการขึ้นรถชัทเทิลบัสค่ะ ต้องสังเกตป้ายรอรถด้วยว่าไปไหน อย่างจุดข้างบน จุดทางเข้าที่เคโกะขึ้นจากด้านหน้าเลยเนี่ย ก็จะบอกว่าไปโซนไหน ซึ่งเค้าจะไปส่งให้ 2 โซนค่ะ คือ Naluwan กับ Fuguwan ส่วนโซนตรงกลางคือ Tamaluwan ไม่มีรถไปส่งค่ะ ต้องเดินไปเอง .. ถามว่าไกลมั้ย ก็นิดนึงค่ะ พอสมควรอยู่

ด้วยความโก๊ะ ๆ ของเคโกะเอง ก็จะนั่งรถวนไปวนมาสองสามรอบอยู่ กว่าจะครบค่ะ เพราะงั้นก็เลยจะออกตัวไว้ตรงนี้ว่า ถ้าแปะรูปสลับโซนกันก็ขออภัยด้วยค่ะ ><~

เริ่มที่โซนแรกคือ Naluwan ซึ่งจะอยู่ด้านในลึกเกือบสุดค่ะ โซนนี้มีโชว์ที่น่าสนใจอยู่ด้วย แต่เวลาไม่ได้จริง ๆ ก็ต้องขอผ่านล่ะค่ะ T.T

การแสดงที่เคโกะว่าก็จะจัดในเธียเตอร์หน้าตาประมาณนี้ค่ะ

DSC_6656

มีป้ายตั้งอยู่ด้านหน้าว่ารอบต่อไปกี่โมง และโชว์ของชนพื้นเมืองกลุ่มใด ใจเคโกะอยากดูของชนเผ่าอาเหม่ยค่ะ แต่เป็นช่วงเช้า เคโกะโผล่ไปตอนบ่ายแล้วอะ และถ้าดูก็จะกลับเย็นเกินไปค่ะ ซึ่งก็นัดเพื่อนไว้ด้วย >< อดเลยยยย~

DSC_6657

ใกล้ ๆ ก็มีโซนอาหารจำหน่ายอยู่ พร้อมที่นั่งรับประทานเรียบร้อยค่ะ ราคาก็แรงนิดนึงตามประสาสถานที่ท่องเที่ยวนะคะ

DSC_6655

นอกจากนี้ก็จะมีอาคารจัดแสดงนิทรรศการด้วยค่ะ แสดงวิถีชีวิตพื้นบ้านของชนเผ่าค่ะ

มีป้ายห้ามถ่ายรูป แต่ก็แอบถ่ายมานิดหน่อย แหะๆ

IMG_4978

เอาจริง ๆ เคโกะว่าหุ่นที่เค้าจัดแสดงแอบหลอนอะ ><

ก็เหมือนจริงไป๊~

IMG_4979

ต่อกันที่โซนถัดไปดีกว่าค่ะ ^^”

โซนถัดไปจะอยู่ด้านในลึกสุดของ Cultural Park แห่งนี้เลย ซึ่งก็คือโซน Fuguwan ค่ะ การจัดแสดงของเค้าจะอยู่ในบ้านทรงโบราณแบบพื้นเมืองอะค่ะ ในบ้านแต่ละหลังก็จะมีการแสดงวิถีชีวิตของคนพื้นเมืองที่แตกต่างกันไป

ป้ายแสดงโซนก็จะเป็นประมาณนี้นะคะ

DSC_6639

บ้านในพื้นที่จัดแสดงก็แอบมีอะไรกุ๊กกิ๊กน่ารัก ๆ อยู่เหมือนกัน

DSC_6642

บ้านบางหลังก็จะมีการแสดงด้วยค่ะ … ซึ่งงงงง ไม่ได้ดูเช่นเดิม มาผิดจังหวะตล๊อดดดด T.T

DSC_6643

กำลังจะเดินออกจากโซนนี้อยู่แล้ว ก็เหลือบไปเห็นป้ายหรืออ่านในแผ่นพับที่ได้มาสักอย่างอะค่ะว่ามีงานหัตถกรรมด้วย ก็เลยโฉบเข้าไปสักหน่อย

มีคุณพี่เจ้าของบ้านนั่งเป่าแก้วทำเป็นเครื่องประดับลวดลายต่าง ๆ ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นวิถีของชนเผ่าอาเหม่ยค่ะ

DSC_6646

แล้วเคโกะก็แพ้ทางเครื่องประดับ accessories ต่างๆ อะ เลยยืน ๆ เลือก ๆ อยู่นาน สุดท้ายก็เลือกมาได้อันนึงค่ะ แล้วคุณพี่ก็อธิบายว่า แต่ละลวดลายที่อยู่บนสร้อย หรือบนเครื่องประดับนั้นจะมีความหมายไม่เหมือนกัน คล้าย ๆ เป็นการอวยพรไรงี้อะค่ะ ลวดลายแต่ละแบบก็จะมีความหมายต่างกัน แล้วเส้นที่เคโกะหยิบมานั้น เป็นการขอให้คลอดบุตรง่าย … เอิ่มมมมม… T^T

ชะงักไปสามวินาที ก่อนจะให้คุณพี่ช่วยแนะนำให้ ซึ่งภาษาจีนของคุณพี่เค้าก็ฟังไม่ค่อยถนัด (น่าจะติดสำเนียงท้องถิ่นมาค่ะ เลยทำให้ฟังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่) แล้วผสมกับความกากในภาษาจีนของตัวเองอีก งานยากเลยแหละ T.T

สุดท้ายก็ได้มา 1 เส้น เป็นสร้อยข้อมือค่ะ สนนราคา 150NTD เค้าอธิบายประมาณว่าเส้นนี้ ลวดลายนี้จะเป็นการขอให้ปลอดภัยค่ะ เข้าทางเคโกะนะ ปีชงค่ะ อะไรพอยึดเหนี่ยวได้ก็จัดไว้ก่อน ^^”

IMG_4980

สายที่เค้าทำไว้ค่อนข้างยาวประมาณนึงเลย แต่เค้าเห็นว่าเคโกะใส่เองและใส่เลย เค้าก็ตัดสายให้สั้นลง ให้ใส่ได้กระชับขึ้นค่ะ น่ารักทีเดียว

จากนั้นก็ออกจากโซนนั้นค่ะ กลับมาที่โซนด้านหน้า แล้วก็รีบเดินไปโซนที่อยู่ตรงกลาง ที่ไม่มีรถชัทเทิลบัสไปส่งค่ะ ก็คือโซน Tamaluwan นั่นเอง

โซนนี้จะไม่มีการจัดแสดงหรือโชว์อะไรเลย เป็นเหมือนนิทรรศการถาวรตั้งไว้ให้ดู ให้ศึกษาเฉย ๆ ค่ะ ไม่ค่อยมีคนมาเดินด้วยซ้ำ (ก็น่าจะเป็นเหตุผลที่ไม่มีรถชัทเทิลบัสไปส่งล่ะนะ)

ส่วนใหญ่ก็จะประมาณแสดงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชนพื้นเมืองค่ะ เช่น บ้านมีกี่แบบ การศึกษา การดำรงชีวิต การเกษตร การละเล่นเป็นยังไงอะไรงี้ค่ะ

ที่ดึงดูดเคโกะให้เดินมาโซนนี้ก็คือสะพานเชือกค่ะ 555 แพ้ทางสะพานเชือกอีกอย่างนึง ><

DSC_6659

เจอของเล่นพื้นเมือง ที่ไร้ผู้คนมาก ๆ 55

DSC_6667

แล้วก็บ้านค่ะ

DSC_6668

ปิดท้ายด้วยอะไรสักสิ่ง แต่สีสันสะดุดตาไง 555

DSC_6673

จากนั้นก็เดินกลับมาโซนด้านหน้าตามเดิม ซึ่งจะมีร้านขายของที่ระลึกด้วยค่ะ แล้วก็มีร้านค้า ของกินเล่นอะไรนิดหน่อยนะ เคโกะเดินดูผ่าน ๆ แล้วก็กลับค่ะ

วิธีกลับก็ตรงข้ามกะวิธีมาค่ะ ก็นั่งรถบัสสายเดิมนั่นแหละ ซึ่งป้ายรถเค้าก็จะอยู่ด้านหน้า ตรงจุดที่เราลงรถบัสตอนขามาค่ะ แล้วก็นั่งไปจนป้ายสุดท้ายก็จะไปถึงที่สถานีรถไฟผิงตงค่ะ

ก่อนจบโพสต์แบบดื้อ ๆ ก็ฝากเพจเลยแล้วกัน 555
https://www.facebook.com/thisiskeigo/

Himeji

สวัสดีค่ะ ทริปญี่ปุ่นเมื่อต้นปีของเคโกะ (กว่าจะเขียนจบก็กลางปีซะงั้น – -” ) ดูจะซ้ำ ๆ รอยนิดหน่อยกับที่เคยไปมาแล้วหนนึงนะคะ และโพสต์นี้ก็เช่นกัน

Spot name : Himeji castle
Websitehttp://www.himejicastle.jp/en/
Location : Himeji station and walk about 15 minutes
Entrance fee : 1,000Y
Opening hours : 9AM-4PM (9AM-5PM in summer)

เราเดินทางมาถึงสถานี Himeji แล้วก็เดินตรงดุ่ม ๆ ไปยังปราสาทตรงหน้าที่สามารถมองเห็นได้ตั้งแต่อยู่ที่หน้าสถานีเลยค่ะ

ระหว่างทางเดินไปปราสาท เคโกะก็สังเกตเห็นป้ายเตือนอันนึงที่วางอยู่บนทางเท้า ดูน่ารักดีอะ

IMG_4377

“เดินใช้สมาร์ทโฟนอันตรายนะ”

เดินมาราวสามท้อใจท่ามกลางอากาศที่ค่อนข้างหนาว พวกเราก็มาถึงจนได้ค่ะ

DSC_6286

เดินผ่านประตูชั้นนอกเข้ามา ก็จะเป็นสวนขนาดใหญ่ มีซุ้มถ่ายรูปด้วย (น่าจะเสียสตางค์ค่ะ)

DSC_6298

ตัวปราสาทเด่นมาก ๆ อย่างที่บอกไป เราสามารถเห็นได้ในระยะไกล ตั้งแต่สถานีก็เห็นได้แล้วค่ะ

DSC_6301

เดินไปจนถึงจุดจำหน่ายตั๋วเข้าชม สามารถใช้บริการตู้ขายตั๋วอัตโนมัติได้เลยนะคะ ใช้งานง่ายดีค่ะ

IMG_4380

ผู้ใหญ่แถวบน ซ้ายไปขวาคือจำนวนตั๋วที่ต้องการซื้อค่ะ มี 1-2-3 และ 4 ใบ แถวล่างเป็นตั๋วสำหรับเด็ก ราคา 300Y (ถูกกว่าผู้ใหญ่มากเลย ^^”)

ก็มีคำบรรยายภาษาอังกฤษกำกับไว้ด้วยนะคะ ไม่ยากๆ

IMG_4381

ได้ตั๋วมาแล้วค่ะ

IMG_4382

เข้าไปด้านในก็จะเจอกับคุณลุงจนท. ที่น่ารักมาก ๆ ขอให้คุณลุงถ่ายรูปให้ คุณลุงก็ถ่ายให้อย่างทะมัดทแมงดีค่ะ รู้มุมด้วยว่าต้องถ่ายประมาณไหนไรงี้ ตรงนี้จะเป็นมุมที่คุณลุงถ่ายรูปให้นะคะ เรายืนด้านหน้า ด้านหลังก็จะเป็นตัวปราสาททั้งหลังค่ะ สวยมาก ๆ เป็นจุดถ่ายรูปจุดนึงเลยค่ะ

DSC_6305

ครั้งก่อนที่เคโกะมา ยังเป็นช่วงบูรณะซ่อมแซมอยู่ ก็เลยดูได้แต่พิพิธภัณฑ์ที่ทางปราสาทได้จัดทำแสดงไว้ แต่ไม่ได้เข้าตัวปราสาทค่ะ

มาครั้งนี้ตัวปราสาทบูรณะเสร็จไปส่วนใหญ่แล้ว เปิดให้เข้าชมได้ (ตั๋วก็เลยเป็นราคาเต็มไงล่ะ T.T) ด้านในก็ยังดูโล่ง ๆ อยู่ ทางเดินแอบดูงง ๆ และมืด ๆ เล็กน้อยค่ะ มีบันไดให้วนขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุดได้ แต่ทางเดินบันไดนั้นแคบและชันมาก ๆ ระวังกันด้วยนะคะ

ด้านบนสุดจะมีศาลเจ้าเล็ก ๆ ประดิษฐานอยู่ เห็นคนไหว้ขอพร โยนเหรียญอยู่บ้างประปรายค่ะ

DSC_6329

แล้วก็ชมวิวมุมสูงได้ด้วย มองย้อนกลับไปเห็นทางเดินที่เราเดินมากันด้วยค่ะ

IMG_4394

เดินวนครบรอบก็เดินออก ก็เจอกับฝูงชนกลุ่มใหญ่ยืนถ่ายรูปเล่นบริเวณนี้อยู่ ก็ดูเป็นมุมที่สวยอีกมุมนึงค่ะ

DSC_6340

ปิดท้ายที่ตู้ขายเหรียญที่ระลึก ซึ่งอยู่ในร้านขายของที่ระลึกตรงทางออกจากปราสาทค่ะ

IMG_4403

ในเมืองฮิเมจินี้นอกจากปราสาทฮิเมจิแล้ว ก็ยังมีที่อื่น ๆ ที่น่าสนใจด้วยนะคะ แต่ว่าด้วยเวลาจำกัด (อีกแล้ว) ก็เลยไปได้แค่นี้เอง หลังจากนี้จะไปไหนกันต่อต้องติดตามในโพสต์ถัดไปนะคะ

ฝากเพจด้วยน้าาาา https://www.facebook.com/thisiskeigo/

Uji

สวัสดีค่ะ โพสต์นี้ขอเล่าถึงเมืองเล็ก ๆ เมืองนึงที่เคโกะรู้สึกว่าน่าสนใจดี กับเมืองที่ชื่อว่า “อุจิ” หรือ Uji (宇治市) ค่ะ

เมืองนี้ จริง ๆ เคโกะได้ยินชื่อมาจากพี่ชายที่เคยอยู่ญี่ปุ่นมาแล้วหนนึง เค้าแนะนำเมืองนี้มาให้ ซึ่งอยู่ในภูมิภาคคันไซ ไม่ไกลกันนักกับโอซากะหรือเกียวโต (หากยึด 2 เมืองนี้เป็นจุดศูนย์กลางอะนะคะ) เคโกะเองที่เป็นคนวางแพลนทริปญี่ปุ่นนี้ทั้งหมด ก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ ยัดเมืองนี้ลงไปในแพลนเฉยเลย (555)

เอาล่ะ เมืองนี้มีอะไรดี ?

สำหรับคอชา ชอบดื่มชา ชอบชาเขียว จะต้องรู้จักเมืองนี้ค่ะ เพราะเมืองนี้มีชาเขียวที่โด่งดังมาก ๆ เรียกได้ว่า ชาเขียวชั้นดีต้องมาจากเมืองนี้เท่านั้นเลยล่ะค่ะ บางแพกเกจจิ้งที่มีชาเขียวเป็นส่วนประกอบก็มักจะอ้างถึงบ่อย ๆ ว่าเป็นชาเขียวอุจิ หรือ อุจิมัทฉะ เลยเชียวนะ อะไรทำนองนี้ค่ะ

เคโกะเดินทางมาเมืองนี้จากนารานะคะ ซึ่งถ้าดูแผนที่แล้ว ก็จะเป็นทางเดียวกันค่ะ แล้ววนกลับเข้าโอซากะได้เลยด้วย คือดีย์~ (อย่างที่บอกไปแล้วว่าเคโกะใช้วิธีไปเช้าเย็นกลับ พักที่เดิมตลอดทั้งทริปนะคะ)

เรานั่งรถไฟมาถึงอุจิแล้วก็แวะศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวซักเล็กน้อย ถามนู่นนี่นั่น แล้วก็ได้แผนที่และเส้นทางการเดินเยี่ยมชมมาค่ะ เรามีเวลากันน้อย พนง.เลยแนะนำได้แค่ไปชมพิธีชงชา และวัดเบียวโดอิน (Byodoin Temple) ค่ะ

ออกจาก JR Uji station เราเลี้ยวซ้าย แล้วเดินตรงไปเรื่อย ๆ ระยะทางประมาณ 2 ท้อใจ (กลางอากาศที่หนาวอยู่ ถ้าอากาศสบาย ๆ น่าจะแค่ท้อใจเดียวค่ะ 555) ก็จะเจอกับโทริอิหน้าตาประมาณนี้ แปลว่าเรามาจวนจะถึงแล้วค่ะ

DSC_6114

ก็เลี้ยวขวาเดินไปตามถนนแคบ ๆ เลยค่ะ ตลอดทั้งเส้นนี้ก็จะมีร้านของกินเล่น และร้านขายชาเขียวทั้งสองฝั่งถนนเลยค่ะ คืออะไร ๆ ก็เป็นชาเขียวไปหมดอะ คอชาอย่างเคโกะเห็นแล้วก็แทบอยากพุ่งใส่ซะทุกร้านเลยค่ะ 555

พอเดินผ่านวัดเบียวโดอินมานิดหน่อย จะมองเห็นแม่น้ำอุจิ ซึ่งจริง ๆ แล้วในเว็บ japan-guide เองบอกว่ามีการล่องเรือชมวิวทิวทัศน์ด้วย แต่น่าจะเพราะอากาศหนาว น้ำในแม่น้ำเลยแห้ง ๆ และมีการก่อสร้างอย่างที่เห็นด้วยค่ะ (ข้อมูลวันที่ไป 24 Jan 2018 ค่ะ)

DSC_6118

มีป้ายบอกทางอยู่ ไม่หลงแน่นอนค่ะ

DSC_6119

และเนื่องจากเรามาถึงก็บ่ายมากแล้ว ก็เลยพุ่งไปที่ Taihoan Teahouse ก่อนเลยค่ะ ซึ่งจะตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ที่อยู่ใกล้ ๆ กับวัดเบียวโดอินค่ะ ค่าบริการในการเข้าร่วมชมพิธีชงชานั้น สนนราคาอยู่ที่ 500Y ค่ะ

IMG_4187

ชำระเงินเรียบร้อยแล้ว พนง.ก็จะเชิญเราไปที่เรือนใกล้ ๆ กัน เพื่อวางสัมภาระและถอดเสื้อชั้นนอกออก (เสื้อกันหนาวอะไรงี้ค่ะ) และเข้าไปนั่งในห้องพิธีชงชาค่ะ

DSC_6116

ตลอดพิธีชงชา จะมีพนง.อธิบายเป็นภาษาอังกฤษตามลำดับขั้นตอนจนกระทั่งจบพิธีการค่ะ

บรรยากาศในห้องชงชานะคะ เคโกะขอเค้าถ่ายตอนที่เสร็จพิธีแล้วค่ะ แต่ในระหว่างพิธีนั้น ห้ามถ่ายรูปค่ะ

IMG_4188

สำหรับการชงชานั้น เคโกะถามเพื่อน ๆ แล้ว เพื่อน ๆ ก็ไม่ใช่คอชาเท่าไหร่อะนะคะ ก็เลยจะว่าเฉย ๆ แต่สำหรับตัวเคโกะเองที่ชอบดื่มชาอยู่แล้ว ก็เลยรู้สึกว่ามันอร่อยมากกกกกกค่ะ

เพราะงั้นก็แล้วแต่รสนิยมแต่ละคนนะคะ ถ้าชอบดื่มชา โดยเฉพาะชาเขียวมัทฉะด้วยแล้ว เคโกะแนะนำอย่างแรงค่ะ ^^

จากนั้นเราก็เดินกลับไปเข้าวัดเบียวโดอินต่อ มีค่าเข้าด้วยราคา 600Y ค่ะ

วัดนี้มีอะไรดี?

วัดนี้คือวัดที่อยู่ด้านหลังของเหรียญ 10 เยนค่ะ ^^

จ่ายค่าเข้าวัดเสร็จ ก็จะเจอกับมุมนี้ ซึ่งเป็นด้านหน้าวัดนะคะ ยังไม่ใช่ภาพวัดที่อยู่ด้านหลังเหรียญ 10 เยนค่ะ

DSC_6121

เดินวนมาด้านหลังค่ะ

DSC_6127

เอียง ๆ หน่อย ใช่มั้ยน้าาาา

DSC_6144

เป๊ะเลยค่ะ ^^

IMG_4198

ถ่ายรูปกันตรงนี้จนหนำใจแล้วก็เดินต่อไปอีกนิดหน่อยค่ะ จะมีพิพิธภัณฑ์เบียวโดอิน (Byodoin Museum) อยู่ สามารถเข้าไปเดินชมได้ ไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มค่ะ

DSC_6148

ด้านใน ถ้าจำไม่ผิด ก็จะจัดแสดงพวกข้าวของเครื่องใช้ยุคสมัยก่อนรวมไปถึงศิลปะทางพุทธศาสนาหรือชินโตด้วยอะค่ะ

พอวน ๆ ด้านในเดินออกมาก็จะคล้าย ๆ กับว่าเดินวนรอบวัดค่ะ (ด้านในวัดต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกหน่อย ถึงเข้าด้านในได้ — พวกเราเลือกที่ไม่เข้านะคะ)

แค่รอบ ๆ ก็มีมุมสวย ๆ ให้ถ่ายรูปเยอะเลยค่ะ

DSC_6153

สะท้อนกับพื้นน้ำกันไป เจอช่างภาพมาก้ม ๆ เงย ๆ เก็บช็อตภาพสะท้อนผืนน้ำกันอยู่เหมือนกันนะคะ

DSC_6159

ขากลับ เราก็แวะชิมขนมกินเล่นซะหน่อย เลือกมาได้เป็นทาโกะยากิชาเขียวและเกี๊ยวซ่าชาเขียวค่ะ

IMG_4200IMG_4202

จากนั้นก็เดินช้อปปิ้งของที่ระลึกเกี่ยวกับชาเขียว ๆ เสียหน่อย

เคโกะไปได้คิทแคทชาโฮจิฉะเมืองอุจินี้มาจากร้านแถว ๆ นี้ล่ะค่ะ ซึ่งถ้าตัดความหวานเวอร์ของคิทแคทออกไปแล้ว อร่อยมากกกกกกค่ะ แนะนำเช่นกัน ซึ่งตัวนี้เคโกะยังไม่เห็นที่อื่นเลยนะคะ นอกจากที่นี่อะค่ะ ^^”

เสร็จสรรพ เราก็โต้ลมหนาวกลับไปที่สถานี เพื่อนั่งรถไฟกลับที่พักกันค่ะ

DSC_6164

โดยรวมแล้วกับเมืองนี้ ถ้าชอบชาเขียว ก็มาเถอะค่ะ ^^”

ติดตามกันในโพสต์ถัดไปนะคะ จะรีบไล่เรียงทริปญี่ปุ่นให้เสร็จไว ๆ ค่ะ แต่จะขอหายแว้บไปซักสามสี่วันก่อนนะ แหะๆ

ระหว่างนี้ไปพูดคุยหรือทักทายกันที่เพจได้ค่ะ
https://www.facebook.com/thisiskeigo/

 

Nara

สวัสดีค่ะ โพสต์นี้มาสั้น ๆ หน่อยนะคะ อย่างที่รู้กันดีในกลุ่มคนที่เคยไปเที่ยวเมืองนารา ประเทศญี่ปุ่นมาแล้วว่าเมืองนี้ก็มีเด่น ๆ แค่วัดและกวางค่ะ เหมาะกับการจัดทริปแบบ 1-day trip หรือบางครั้งก็แค่ครึ่งวันด้วยซ้ำ ซึ่งเคโกะเองก็จัดไปแค่ครึ่งวันเช่นกันค่ะ แต่พอคุยกับจนท.ที่บูธ tourist information แล้ว ก็พอจะจัดแบบสบาย ๆ 1 วันเต็มได้นะคะ

Spot name : Todaiji Temple / วัดโทไดจิ / 東大寺 / Toudai-ji
Location : JR Nara station, take bus or 45-minute walk / Kintetsu Nara station, take bus or 30-minute walk
Websitehttp://www.todaiji.or.jp/index.html
Opening hours : 7:30-17:30 (Apr – Oct), 8:00-17:00 (Nov – Mar)
Entrance fee : 600Y
Visited date : 24 Jan 2018

เช้าวันนั้นเป็นวันที่แย่มาก ๆ วันนึงค่ะ เพราะเคโกะไม่ค่อยสบาย อาการหนักอยู่ แม้จะกินยาแล้ว แต่ยายังไม่ออกฤทธิ์ ทรมานสุด ๆ เลยค่ะ เลยทำให้ไม่ค่อยมีกะจิตกะใจถ่ายรูปเท่าไหร่

เรานั่งรถไฟไปลงที่ JR Nara station ภายในสถานีจะมีบูธ tourist information อยู่ค่ะ มีภาษาอังกฤษและภาษาอื่น ๆ แล้วแต่ช่วงเวลาที่พนง.จะอยู่ทำการว่าภาษาอะไรบ้าง (เช่น จีน, เกาหลี อะไรงี้อะค่ะ) ช่วงที่ไป เจออังกฤษกับจีนพอดี ภาวะที่ร่างพัง ๆ แบบนั้น เคโกะก็เลยถลาเข้าไปช่องภาษาจีนค่ะ คุยโช้งเช้ง ๆ ไป ปล่อยให้เพื่อน ๆ ยืนงง -..-”

พนง.แนะนำสถานที่ที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมาให้สองสามจุด ซึ่งเหมาะกับ 1-day trip มาก ๆ ค่ะ แต่พวกเราแพลนมาแล้วว่าจะอยู่แค่ครึ่งวัน ก็เลยต้องผ่านไปก่อน และถ้าเราไปตามที่พนง.แนะนำมานั้น การใช้ 1-day bus pass เป็นการตอบโจทย์ที่ดีมากค่ะ เคโกะจำราคาไม่ได้แน่นอนนะคะว่ากี่เยน แต่ถ้าใช้มากกว่า 3 เที่ยว คุ้มเลยค่ะ ซึ่งพวกเรา อย่างที่บอกเนอะ เราอยู่กันครึ่งวัน และไปแค่วัดโทไดจิที่เดียวค่ะ ไปกลับก็ไม่คุ้มที่จะซื้อพาสรถบัส ก็เลยไม่ได้ใช้ค่ะ จ่ายเป็นเที่ยว ๆ เอาแทน

รถบัสจากสถานี JR Nara มีหลายสายอยู่ที่ไปวัดโทไดจิได้ค่ะ พอลงจากรถบัสปุ๊บ เราก็ได้เวลาลัลล้ากับน้องกวางที่มาเดินเล่นรอต้อนรับพวกเราอยู่อย่างมากมายจริงๆ

DSC_6090

น้องกวางน่าร้ากกกกกก

ที่นี่เค้าจะไม่กักขังกวางนะคะ แต่จะปล่อยให้เดินเล่นอย่างอิสระ เพราะเค้าถือกันว่ากวางคือสัตว์เลี้ยงของเทพเจ้าค่ะ เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ เลยจะไม่ทำร้ายมันค่ะ

DSC_6095

ตลอดสองข้างทางที่จะเดินไปวัด กวางก็จะเยอะมาก ๆ และมีคนขายอาหารกวางอยู่เป็นระยะ ๆ ด้วยค่ะ อาหารเลี้ยงกวางที่เคโกะจำได้ ก็เป็นเซมเบ้ล่ะนะคะ (กวางกินเซมเบ้ 555) ซึ่งเวลาเราซื้ออาหารกวางมาแล้ว กวาง ๆ ก็จะรู้นะคะว่านั่นคืออาหารของชั้น~ บางทีก็จะเข้ามาแย่งค่ะ เราอาจจะต้องระวังนิดนึง และเวลาให้ก็คือให้เค้าไปเลยอะค่ะ อย่าไปแกล้ง ๆ หรืออย่าไปค้างเพื่อถ่ายรูปอะไรงี้นะคะ เค้าก็จะออกแนวรำคาญหน่อย ๆ บางครั้งก็วิ่งไล่ค่ะ เพราะไปแกล้งมันเกินเหตุ (อันนี้เห็นนทท.จีนกลุ่มนึงโดนกวางวิ่งไล่ด้วยอะ >< )

แล้วก็เดินฝ่าฝูงกวางมาจนถึงบริเวณทางเข้าวัดจนได้ค่ะ

DSC_6102

ประตูสองชั้นตามแบบวัดโบราณของญี่ปุ่นนะคะ

DSC_6105

บริเวณด้านนอกนี้ทั้งหมดเรายังสามารถเดินเล่นได้อยู่โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ค่ะ แต่พอผ่านจากประตูชั้นที่ 2 ไปแล้ว จะมีทางเข้าตัวอาคารวัดจริง ๆ ตรงนี้ถึงจะต้องเสียค่าผ่านประตู 600 เยนค่ะ

พวกเราเลือกที่จะไม่เข้า เพราะอิ่มกับวัดที่เกียวโตมาแล้ว ฮาาาา~

ก็เลยได้แต่ถ่ายรูปอยู่บริเวณด้านนอก ก่อนจุดตรวจตั๋วค่ะ

DSC_6110

ประตูวัดเองก็มีศิลปะแบบญี่ปุ่นดูอลังการอยู่นะคะ

DSC_6113

กับนาราก็จะสั้น ๆ ประมาณนี้

แล้วก็มีรายละเอียดการเที่ยวเมืองนี้เพิ่มเติมแปะเป็นลิ้งค์ไว้ให้ตามไปศึกษากันต่อเองนะคะ
https://www.jnto.go.jp/eng/pdf/regional/kinki/nara_shi.pdf
https://www.jnto.go.jp/eng/pdf/pg/pg-507.pdf

แล้วมาเจอกันโพสต์หน้ากับเมืองที่เคโกะภูมิใจนำเสนอค่ะ

ฝากเพจไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ ^^
https://www.facebook.com/thisiskeigo/

Kyoto : Kinkakuji + Kiyomizu Dera

สวัสดีวันฝนตกที่เล่าเรื่องทริปฤดูหนาวค่ะ เคโกะว่าจะไม่ให้เขียนโพสต์ลากยาวไปถึงหน้าหนาวใหม่อีกรอบนะคะเนี่ย หน้าฝนแล้ววววว ^^”

สำหรับเมืองเกียวโต เมืองที่เต็มไปด้วยวัดวาอารามนั้น เคโกะเคยไปมาแล้วหนนึง ก็สามารถเที่ยวชมวัดได้ 4 วัดในวันเดียว แต่สำหรับครั้งนี้นั้น ก็งง ๆ อยู่เหมือนกันว่าสามารถไปได้แค่ 2 วัดเองค่ะ ^^”

ตามมากันเลยนะคะ

ก่อนอื่นใด การเดินทางในเกียวโตนั้น แนะนำว่าเป็นรถบัสจะสะดวกสุดค่ะ เนื่องจากสามารถเข้าถึงสถานที่ท่องเที่ยวได้มากกว่ารถไฟฟ้านะคะ ซึ่งเราสามารถซื้อตั๋วรถบัสเป็นแบบ 1-day pass ได้เลยค่ะ ในราคาเพียง 600Y เท่านั้นค่ะ ซื้อได้ที่บัสออฟฟิศ, บูธขายพาส หรือแม้แต่บนรถบัสก็มีขายค่ะ (แต่ก็มีโอกาสที่ตั๋วจะหมดนะคะ แนะนำว่าควรซื้อที่ขายตั๋วดีกว่าค่ะ) ส่วนพวกเราเองซื้อที่บัสออฟฟิศที่ด้านหน้าสถานีเกียวโตค่ะ

รายละเอียดเกี่ยวกับพาสตัวนี้นะคะ
https://www2.city.kyoto.lg.jp/kotsu/webguide/en/ticket/regular_1day_card_bus.html

ได้ตั๋วแล้วเค้าจะให้แผนที่มาด้วย ดูให้แม่น ๆ ค่ะ จะออกลายตาไปสักหน่อย เพราะสายรถบัสเค้าเยอะจริง ๆ เลยทำให้ครอบคลุมทั้งเมืองมาก ๆ ค่ะ แต่ก็ทำให้เคโกะนั่งรถผิดทางไปแล้ว T.T (บอกเลยว่านั่งรถผิดทางเนี่ย เสียเวลาไปพอสมควรเลยค่ะ ><~ )

IMG_4160

ตั๋วพร้อม สกิลการอ่านแผนที่พร้อม ก็เริ่มเดินทางกันเลยค่ะ

** เคโกะจะไม่ลงรายละเอียดเส้นทางรถบัสการเดินทางไว้ให้นะคะ แต่สามารถดูได้จากแผนที่ที่เค้าให้มาพร้อมกับตั๋วรถบัสค่ะ ^^”

1. Kinkakuji Temple / 金閣寺 / วัดคินคะคุจิ
Website : https://www.jnto.go.jp/eng/spot/shritemp/kinkakuji.html
Entrance fee : 400Y
Opening hours : Everyday from 9AM-5PM
Visited date : 23 Jan 2018
Used Pass : Kyoto bus 1-day pass

หลังจากจ่ายค่าผ่านประตูแล้ว ก็จะมีป้ายเล็ก ๆ ตั้งบอกอยู่ด้านหน้าว่าไม่อนุญาตให้นำขาตั้งกล้องมาใช้นะคะ

IMG_4161

แล้วเส้นทางการเดินชมวัดก็จะเป็นเส้นทางแบบ one-way ค่ะ วน ๆ ไปตามเส้นทางจนกระทั่งถึงทางออกเลยค่ะ

มุมบังคับเนอะ มาแล้วไม่ถ่ายก็เหมือนไม่ได้มาค่ะ ฮาาาา..

DSC_6032

แล้วก็เดินวนตามเส้นทางของเค้าต่อไป ระหว่างทางก็มีสวนสวย ๆ ให้ดูบ้าง มีคำอธิบายประกอบบ้างนิดหน่อย ซึ่งก็เป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมดค่ะ

DSC_6055

ชมวัดกันเสร็จแล้ว เราก็ตัดสินใจไปหาอะไรหม่ำกันที่ตลาดนิชิกิค่ะ เปิดกูเกิ้ลแม็พประกอบกัน ตรงนี้แอบมีเพี้ยน ๆ หน่อย ๆ เลยทำให้มาลงรถที่ไหนสักแห่งนึง เดินข้ามสะพานข้ามแม่น้ำแล้วก็รู้สึกว่าวิวสวยดีค่ะ น้ำก็ยังใส ๆ อยู่ ให้ความรู้สึกสดชื่นมากจริง ๆ อยากให้แม่น้ำลำคลองในกทม.เป็นแบบนี้บ้างนะคะ

IMG_4169

แล้วก็เดิน ๆ ตามกูเกิ้ลแม็พไปจนเจอกับตลาดนิชิกิ (Nishiki Market) ค่ะ

IMG_4171

ซึ่งตลาดนี้เนี่ย ก็จะเป็นถนนทางเดินยาว ๆ ล่ะค่ะ มีร้านขายอาหารทั้งปรุงแล้วและยังไม่ปรุงให้จับจ่ายซื้อหาทานกัน

IMG_4172

เสร็จสรรพเรียบร้อย เราก็เดินทางต่อไปอีกวัดนึงค่ะ

2. Kiyomizu Dera / 清水寺 / วัดคิโยมิสึ / วัดน้ำใส / คิโยมิซึเดระ 
Websitehttp://www.kiyomizudera.or.jp/en/
Entrance fee : 300Y
Opening hours : Every day from 6AM but closed in vary hours, normally by 6PM
Visited date : 23 Jan 2018
Used pass : Kyoto bus 1-day Pass

ครั้งก่อนที่มายังปิดซ่อมแซมอยู่เลย ครั้งนี้มาก็เลยรู้สึกว่ามีบางอย่างที่เปลี่ยนไป ไม่เหมือนจากเดิมค่ะ

ด้านหน้าทางเข้าวัดค่ะ

DSC_6061

ที่นี่ก็จะเป็นเส้นทางให้คนเดินเช่นกัน แต่ต่างจากวัดคินคะคุจิอยู่หน่อย ๆ ตรงที่ไม่ได้ฟิกซ์มากขนาดนั้นค่ะ เดินไปแล้วก็เดินย้อนกลับได้ ^^” (แต่ก็ไม่ค่อยเดินย้อนกันนะ)

พอเดินผ่านอาคารแรกด้านหน้าไปแล้ว ด้านหลังแต่เดิมเคโกะจำไม่ได้แล้วนะคะว่าเดิมคืออะไร แต่ตอนนี้มาเป็นแหล่งรวมเครื่องราง และจุดที่ขอพรเรื่องความรักเลยล่ะค่ะ

เคโกะถึงกับสตั๊นท์ไปสามวิฯ ..

DSC_6067

คนเยอะมากจริง ๆ

DSC_6071

ในขณะที่เพื่อนคนนึงก็เดินวุ่นวายไปกับการขอพรให้ได้เจอเนื้อคู่ (อิอิ 555) และอีกคนก็วุ่นวายกับการขอพรให้ครองคู่รักไปนาน ๆ (อิอิ) — มีการเผาเพื่อนค่ะ ฮาาาา อีกคนมายืนรอเป็นเพื่อนเคโกะ (ทำไมเธอไม่ไปขอพรขอเนื้อคู่กะเค้า ฮึ?) และตัวเคโกะเองที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องเนื้อคู่ไปแล้ว (ฮาาาา) ก็เลยมาเดินเล่นไปมาดูบรรยากาศและเก็บรูปมาค่ะ

ตรงนี้เป็นจุดที่เค้าให้อธิษฐานกันออกแนวดูเนื้อคู่อะค่ะว่าคนที่เราคบอยู่จะใช่เนื้อคู่เรามั้ย หลับตาอธิษฐานแล้วเดินไปให้ถึงอีกจุดหนึ่ง ถ้าถึงพอดีก็แปลว่าถูกต้องค่ะ .. น่าจะประมาณนี้นะคะ

DSC_6073

แล้วก็มีป้ายอายุปีชงด้วย สามช่องบน (ตัว 女 ในช่องซ้ายสุด) คือผู้หญิงค่ะ ส่วน 3 ช่องล่าง (男) คือผู้ชายนะคะ ก็จะประมาณว่ามี 3 ช่วงอายุของทั้งชายและหญิงที่จะมีความซวยสุด ๆ ค่ะ เค้าจะนับเป็นช่วงอายุ 3 ช่วง คือปีที่ตรง และปีก่อนหลัง 1 ปี รวมเป็นช่วง 3 ปีที่ซวยค่ะ ตัวสีแดงคือปีซวยที่ตรงปี ช่องซ้ายและขวาก็คือปีก่อนหน้าและหลัง 1 ปีค่ะ และในป้ายนี้เป็นการนับอายุแบบญี่ปุ่นนะคะ

อันนี้เคโกะเอาให้พี่ชายที่เคยอยู่ญี่ปุ่นมาดู เค้าก็ไม่ได้เชื่อเรื่องนี้อะนะคะ เลยบ่น ๆ นิดหน่อยประมาณว่า ไร้สาระค่ะ ฮาาาาา

ตัวเคโกะเอง ตรงปีซวยพอดี แถมก่อนหน้านี้ที่อาคารด้านหน้าของวัดนี้ก็ไปเสี่ยงเซียมซีมา ได้ใบไม่ดีมาด้วย ก็กำลังคิดอยากได้เครื่องรางสักอันไว้พกให้อุ่นใจค่ะ เจอคำของพี่ชายเข้าไปก็สะอึกไปเล็กน้อย (ฮาาาา) ก็เลยหมดคำพูดค่ะ

เอาเป็นว่า ดูกันขำ ๆ แล้วแต่ความเชื่อแต่ละคนละกันนะคะ ^^”

IMG_4177

เราโอ้เอ้กันอยู่แถว ๆ นี้อยู่นานพอควร (แสดงให้เห็นว่าคนวัยนี้เริ่มมองหาคู่ชีวิตกันแล้วสินะคะ ฮาาาา) กว่าจะกลับออกจากวัดได้ก็เริ่มโพล้เพล้แล้ว เลยได้ช็อตนี้มาโดยบังเอิญ

เคโกะว่าสวยนะ ของจริงสวยกว่ามาก ๆ ค่ะ

IMG_4178

จากลากันไปกับเกียวโตเพียงเท่านี้ค่ะ แล้วกลับมาเจอกันในโพสต์หน้านะคะ

ฝากเพจไว้ในอ้อมใจด้วยค่ะ ^^”
https://www.facebook.com/thisiskeigo/

Sumiyoshi Taisha, Osaka

สวัสดีค่ะ โพสต์นี้โยกย้ายข้ามมาญี่ปุ่นกันบ้างซะทีนะคะ หลังจากติดแหง่กอยู่ในไต้หวันซะยาวนานเลย ^^”

เริ่มต้นทริปญี่ปุ่นช่วงหน้าหนาว ที่มาลงรีวิวเอาตอนหน้าร้อนนี่แหละ (^^”) กันที่ศาลเจ้าที่ได้ชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น และมีวิวสวยงามกันนะคะ

Location name : Sumiyoshi Taisha Shrine
Access : Nankai Main Line, transfer to Sumiyoshi Taisha station and walk about 5 min.
Website (English) : http://www.sumiyoshitaisha.net/en/
Admission Fee : Free
Opening hours : 6.30 – 17.00 (Oct. – Mar.) / 6.00 – 17.00 (Apr. – Sept.)
Visited date : 20 Jan 2018

พอมาถึงสถานีรถไฟ Sumiyoshi Taisha แล้วก็สบายค่ะ จะมีป้ายบอกทางว่าให้ไปทางไหน ก็เดินตามป้ายได้เลย ในสถานีเองก็มีแผนที่อยู่ แต่เป็นภาษาญี่ปุ่นค่ะ

เดินออกมาตามทางตรงไปเรื่อย ๆ ก็จะเจอถนนคั่นอยู่ด้านหน้าที่มีรถรางสีสันสดใสผ่านแบบนี้

DSC_5794

ข้ามถนนไปก็ถึงประตูทางเข้าศาลเจ้าเลยค่ะ

DSC_5795

ผ่านโทริอิต้นใหญ่ไปต่อเลยค่ะ

เคโกะไปช่วงต้นปีเนอะ ผู้คนก็ยังอยู่ในช่วงที่ออกมาทำบุญเข้าวัดเข้าวา เข้าศาลเจ้าขอพรหลังวันปีใหม่กันอยู่ล่ะค่ะ คนเยอะเลยทีเดียว

DSC_5798

ศาลเจ้าที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น การจัดวางของศาลเจ้าแต่ละหลังก็จะยังคงแบบดั้งเดิมไว้ค่ะ

ผู้คนต่อแถวยาวเลยทีเดียว ไปต่อแถวกันบ้างค่ะ พาเพื่อนมา เพื่อนก็ลิ่ว ๆ ไปต่อคิวแบบไม่ต้องถามเลย 55

DSC_5806

มีเสี่ยงเซียมซีตามสูตรด้วยค่ะ ถ้าได้ใบที่ไม่ดีก็มาผูกไว้กับราวที่ทางศาลเจ้าจัดไว้ให้นะคะ แบบนี้เลย

DSC_5807

เดินวนชมศาลเจ้าด้านในกันไปเรื่อย ๆ ค่ะ

DSC_5809

ด้านในศาลเจ้าก็มีอาณาบริเวณค่อนข้างกว้างขวางอยู่เหมือนกัน มีสะพานข้ามสระเล็ก ๆ ด้วย มีเป็ดเริงร่าอยู่หลายตัวเชียวค่ะ

DSC_5815

พอวนกลับออกมา ก็เจอกับพิธีแต่งงานตามธรรมเนียมญี่ปุ่นด้วย เลยแอบยืนดูเค้าอยู่พักนึงค่ะ เพิ่งเคยเห็นแบบจริงจังใกล้ชิดเลยนะคะเนี่ย

DSC_5818

ตู้โทรศัพท์ที่นี่ก็ทำกิมมิคเข้ากับศาลเจ้าดูเก๋ ๆ ไปอีกค่ะ

DSC_5819

แล้วก็มาถึงจุดถ่ายรูปที่เค้าว่าสวยมาก ๆ ค่ะ คือด้านข้างของสะพานแดง แต่พอดีช่วงที่เคโกะไป น้ำไม่ค่อยนิ่งเนอะ เลยดูสะท้อนไม่ค่อยชัดและงามเท่าไหร่เลยค่ะ ^^”

DSC_5821

ปิดท้ายด้วยไส้กรอกที่ขายอยู่บริเวณหน้าศาลเจ้า รสชาติธรรมดาๆ เลยค่ะ ซื้อชิมเพราะแอบคิดถึงไส้กรอกไต้หวันไรงี้ล่ะค่ะ 5555 (ทั้ง ๆ ที่ตอนที่ไปญี่ปุ่น เคโกะก็เพิ่งกลับมาจากไต้หวันได้ไม่กี่วันอ่ะนะ – -“)

เอาล่ะ โดยรวม ๆ ก็เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ที่มีวิวสะพานแดงสวย น่ามากราบไหว้และเดินถ่ายรูปเล่นค่ะ

เจอกันในโพสต์หน้านะคะ จะพยายามโพสต์ให้ไว ๆ ค่ะ แหะๆ ^^”

ระหว่างนี้ไปเม้าท์มอยกันที่เพจ https://www.facebook.com/thisiskeigo/ กันก่อนได้นะคะ ^^

Miaoli – Nanzhuang Route

สวัสดีค่ะ โพสต์นี้พาออกนอกเมืองกันนะคะ

พูดถึงจังหวัดเหมียวลี่ (Miaoli – 苗栗) แล้วก็คงเป็นเพียงทางผ่านเพื่อไปเมืองอื่น ๆ เช่น Taichung, Tainan อะไรงี้นะคะ ซึ่งก็เป็นจังหวัดที่ไม่ค่อยมีอะไรเที่ยวจริง ๆ อ่ะแหละ (555) แต่ก็จะลองพาไปดูกันค่ะ ว่าใน 1 วันของเคโกะไปเมืองนี้ได้อะไรบ้าง

แพลนจริง ๆ ค่อนข้างจะแน่นและยาวเหยียด (ไหนว่าไม่มีที่เที่ยวไงเจ๊?) เอาเข้าจริง ไม่ได้ครบตามแพลนค่ะ คิดว่าน่าจะต้องมาใหม่แหละ เพราะที่พลาดไปนั้นดูจะค่อนข้างเป็นแลนด์มาร์คของเมืองนี้อยู่อะค่ะ

มา เริ่มกันเลยเนอะ

Location : Miaoli, Nanzhuang route
Transportation : Taiwan Haoxing bus (台湾好行) No.5805A
Visited date : 29 Dec 2017

เคโกะเริ่มต้นการเดินทางไป Miaoli ด้วยรถไฟ TRA ไปลงที่สถานี Zhunan ซึ่งเป็นเขตนึงในจังหวัดนี้อะนะคะ ออกมาจากสถานีแล้วก็จะเห็นป้ายบอกทางไปจุดจอดรถบัส 好行 หรือรถบัสที่ประจำเส้นทาง ผ่านจุดท่องเที่ยวต่าง ๆ ไรงี้อ่ะค่ะ เคโกะจะใช้บริการรถบัสนี้ในเส้นทาง Nanzhuang route ค่ะ สายเบอร์รถก็คือ 5805A ค่ะ

เดินตามป้ายมาเรื่อย ๆ ผ่าน 7-11 ทางซ้ายมือ ป้ายรถเมล์จะอยู่เยื้อง ๆ กับ 7-11 นี้ค่ะ ทางด้านขวามือ จะมีป้ายนี้ตั้งเด่น แอบหลังต้นไม้นิด ๆ อยู่

IMG_3615

มีเวลาและเส้นทางบอกเรียบร้อย ซึ่งก็ควรจะดาวน์โหลดเวลาแต่ละป้ายรถให้ดีค่ะ (ดาวน์โหลดได้จากเว็บรถบัสนะคะ)

link รายละเอียดรถบัส (ภาษาจีน แต่เปลี่ยนภาษาที่เมนูด้านบนได้ค่ะ) :: https://en.taiwantrip.com.tw/line/5
ตารางเวลารถบัส (ภาษาจีนเช่นกัน เปลี่ยนภาษาที่ลิ้งค์บนแล้ว ตารางนี้ก็จะมีภาษาอังกฤษเพิ่มให้ค่ะ) :: https://www.taiwantrip.com.tw/upload/1514891435nxLv9.pdf

ตอนที่เคโกะไปรอรถบัสก็เจอกับกรุ๊ปที่มารอรถบัสนี้เช่นกันกลุ่มใหญ่เลย แอบเหลือบเห็นในมือพวกเค้ามีตั๋วแบบ 1-day pass อยู่ ซึ่งเคโกะอ่านเจอว่าซื้อบนรถได้ แต่ก็เห็นว่าเค้าซื้อมาได้ในราคาที่ถูกกว่าค่ะ ก็เลยถามเค้าว่าซื้อบัตรนี้จากไหน เค้าก็ใจดี บอกให้ว่าซื้อที่ตู้อัตโนมัติใน 7-11 ค่ะ เคโกะดูเวลาแล้วยังพอมีเวลาอยู่ก่อนที่รถจะมา ก็เลยรีบวิ่งไปซื้อตั๋วบ้าง

ตู้ขายตั๋วก็เป็นปัญหากับเคโกะอีกเช่นเคย เนื่องจากเป็นภาษาจีนล้วนค่ะ แม้จะอ่านพอได้บ้าง แต่ที่อ่านได้นั้นเป็นจีนตัวย่อค่ะ T.T บวกกับเวลากระชั้นชิด เลยรีบขอร้องให้พนักงานมาช่วยกดตั๋วให้ และรีบจ่ายเงินราคา 135NTD และรีบวิ่งไปรอรถบัสค่ะ

IMG_3616

คำนวณราคาแล้ว ถือว่าคุ้มมาก ๆ ค่ะ ขนาดแค่นั่งรถไปกลับเดินถนนคนเดินเล่น ๆ ก็คุ้มค่ะ (ในไฟล์ตารางเวลามีตารางค่าโดยสารให้คำนวณด้วยค่ะ)

ระหว่างนั่งรถไป ก็นั่งเสิร์ชหาที่แวะรายทางอีกสักจุด แล้วก็ตัดสินใจจะลงที่ Toufen Backyard Garden ซึ่งเปิด ๆ กูเกิ้ลดูแล้วก็รู้สึกว่าพอใช้ได้ น่าจะพอมีอะไรให้เดินเล่น ชมวิวได้ แต่ปรากฏว่าเลยป้ายค่ะ T.T แล้วกรุ๊ปที่เคโกะซื้อตั๋วตามเค้าก็ลงป้าย Lion’s Head Mountain Historic Trail ซึ่งจริง ๆ เคโกะก็สนใจอยู่แล้ว แต่เนื่องจากวันที่ไปสุขภาพไม่ค่อยอำนวยค่ะ เลยกะจะไม่ไป แต่เลยป้ายที่อยากลงแล้วไง แล้วกรุ๊ปที่ตามเค้ามาก็แห่กันลงหมดเลย ก็เลยลงตามเค้าไปค่ะ T.T

โถ .. เคโกะ ไม่ได้อยากมาปีนเขา ดวงก็พาให้มาปีนเขาซะงั้นอ่ะ ปีนเขาซะทุกรอบเลย (555)

ป้ายที่ลง ดูวังเวงมาก เป็นบ้านร้าง ๆ ค่ะ (ถ่ายจากฝั่งตรงข้าม)

DSC_5272

ข้ามถนนมาก็เป็นปากทางเส้นทาง trail เลย

DSC_5274

ป้ายชื่อบอกชัดว่าเป็นเขาหัวสิงโต (Lion’s Head Mountain) ค่ะ

ทางเดินก็เป็นบันไดขั้น ๆ เดิน ๆ ไปเรื่อย ๆ ค่ะ แรก ๆ ดูเหมือนเดินง่าย เดินสบาย ๆ ค่ะ

DSC_5276

ข้างหน้าคือกรุ๊ปที่ลงรถตามเค้ามา

ข้างทางก็มีรูปปั้นอะไรบางอย่างดูน่าสนใจดี แวะถ่ายรูปนิดหน่อย ทิ้งช่วงกลุ่มคนที่แอบตามเค้ามาสักหน่อยค่ะ 555

DSC_5280

เดินไปตามทางเรื่อย ๆ ก็มีทางแยกนิดหน่อย เค้างง ๆ กัน ว่าไปทางไหนดี ไอ้เราก็งงไปด้วย ทำไก๋หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไถกูเกิ้ลแมพดูเส้นทางค่ะ จนเค้าไปถูกทาง ก็เดินตามเค้าต่อ ^^”

DSC_5287

เดิน ๆ ขึ้นมาจนถึงด้านบนแล้ว จะเจอกับลานจอดรถของวัดแห่งหนึ่งโล่ง ๆ เลยค่ะ ซึ่งเคโกะก็คลาดกับกลุ่มข้างหน้าไปแล้วเรียบร้อย T.T .. ก็แค่โอ้เอ้หยุดถ่ายรูป แล้วก็แวะเข้าห้องน้ำอีกทีเท่านั้นเอ๊งงงงง

มองไปรอบ ๆ ลานจอดรถของวัดแล้วก็จะเห็นมีวัดเรียงรายอยู่ ไม่รวมกับที่ยืนอยู่นะคะ

DSC_5290

มองไปมองมา หาคนกลุ่มนั้นไม่เจอแล้ว เจอแต่แผนที่ก็รีบโผไปหาเลยค่ะ เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง

IMG_3619

ดูจากแผนที่แล้วก็ถึงได้รู้ว่าวัดที่ยืนอยู่คือวัด Chuanhuatang Temple (劝化堂)

จริง ๆ แล้ว เคโกะว่าเส้นทาง trail ที่นี่ออกแนวเส้นทางสายบุญมากกว่าค่ะ จุดตัวหนังสือแดง ๆ แต่ละจุดในแผนที่นั้นเป็นวัดหมดเลยค่ะ นับไปนับมา มีวัดไม่ต่ำกว่า 10 แห่งค่ะ ถ้าไปหมด เคโกะว่าคงหมดวันแน่ ๆ T.T ก็เลยเอาวัดหัวสิงโต หรือวัด Chuanhuatang Temple ที่อยู่นี่ก็พอค่ะ ซึ่งหลังจากเดิน ๆ รอบ ๆ แล้ว เป็นวัดที่ใหญ่ สวยและแปลกตามากจริง ๆ ค่ะ

เดินต่อไปเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นทางเดินซีเมนต์ธรรมดาละ ไม่ใช่ขั้นบันไดค่ะ ก็จะเจอกับทางเข้าวัด มีรูปปั้นสิงโตตั้งอยู่อย่างโดดเด่น

DSC_5297

มีการทำถ้ำให้เดินลอดเข้าไปได้ด้วย (ไม่แน่ใจนะคะว่าถ้ำจำลองหรือถ้ำจริง ๆ) ซึ่งด้านในก็มีไฟส่องทางอยู่บ้างค่ะ ไม่ได้มืดแบบไม่เห็นทางเลย

DSC_5303

ที่ว่าแปลกตาก็คือถ้ำ ๆ พวกนี้แหละค่ะ ขนาดทางเดินก็ยังอุตส่าห์จำลองให้เป็นถ้ำเลยอะ

DSC_5315

แล้วก็มีหน้าผาน้ำตกจำลองพร้อมด้วยรูปปั้นนกกระยาง (ใช่ไหมคะ ^^”) หยุดถ่ายรูปอยู่ที่นี่นานอยู่เหมือนกัน สวยและแปลกตาอย่างที่บอกค่ะ

DSC_5319

เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนเขาเลย ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บนหน้าผาค่ะ เพราะพอมองออกไปก็จะเห็นเพียงหลังคาวัดและยอดต้นไม้ด้านล่างเท่านั้นเอง

DSC_5338

ด้านหลังวัด มีทางเดินทะลุออกไปเส้นทาง trail ต่อได้อีกค่ะ เคโกะก็เดินต่อนะ ^^”

แต่ช่วงหลังนี้เป็นทางเดินที่ดูไม่ค่อยง่ายแล้วล่ะค่ะ แต่ก็ไม่ได้ทุลักทุเลนะ

DSC_5354

มีวิวธรรมชาติ ๆ บนยอดเขาให้พักสายตาดูบ้าง จะได้พักไปด้วย

DSC_5362

เดินออกมาเรื่อย ๆ แล้วก็เจอต้นที่มีใบไม้แดงอยู่ต้นนึงค่ะ เดาว่าที่นี่น่าจะมีหลายต้น เพราะเคโกะเดินเจอใบไม้แดงร่วงเต็มพื้นตลอดทางเลย นี่น่าจะเป็นต้นที่ยังเหลืออยู่ต้นสุดท้ายละมั้งคะ ^^”

DSC_5363

ทางเดินตรงหน้าก็เดินต่อไปได้อีก แต่เคโกะก็ไม่รู้ว่าไปไหนแล้วนะ แล้วก็เจอกรุ๊ปครอบครัวมาเดินบริเวณนี้เหมือนกันค่ะ ตั้งใจจะไปถามทางสักหน่อย เลยไปเนียน ๆ ช่วยเค้าถ่ายรูป เลยได้พูดคุยกันนิดหน่อย ก็เลยรู้ว่าเป็นคนฮ่องกง พาครอบครัวมาซินจู๋แล้วเลยมาเที่ยวที่นี่ค่ะ … หมดกันคนถามทาง T.T

เคโกะเสียเวลาไปกับเขาลูกนี้เยอะอยู่เหมือนกัน และยังมีอีกหลายที่ที่อยากไป ก็เลยกลับค่ะ ก็เดินกลับมาทางเดิมเป๊ะ ๆ เลยนะคะ มารอรถบัสที่ป้ายรถบัสป้ายเดิมที่ดูเวิ้งว้างนั่นแหละค่ะ T.T

รอรถบัสนานอยู่เหมือนกัน เดาว่ารถเที่ยวที่เคโกะตั้งใจจะไปน่าจะเพิ่งผ่านไปไม่นานค่ะ เลยต้องรอรอบถัดไป แล้วอากาศก็หนาวด้วยนะ T^T

พอรถมาก็รีบขึ้น แล้วไปลงที่ป้ายสุดท้ายเลยค่ะ คือ Nanzhuang Visitor Center ค่ะ จะดูคึกคักมาก ๆ เพราะเป็นทั้งตลาดสดและถนนคนเดินค่ะ

ลงรถปุ๊บก็เจอแผนที่บอกทางไปที่เค้าแนะนำเลย

IMG_3645

เดินย้อนมานิดหน่อย ก็จะเจอกับทางเข้าถนนคนเดินค่ะ

DSC_5376

ด้านหน้าก็มีแลนด์มาร์คที่คนนั่งพัก นั่งกินอาหาร นั่งรอรถ ฯลฯ กันอยู่เยอะทีเดียว

IMG_3655

สองข้างทางก็จะเป็นร้านค้าขายนู่นนี่นั่นค่ะ ก็เดินไปเรื่อย ๆ ก็เจอกับร้านนึงมีสไปเดอร์แมนอยู่บนหลังคาด้วยอะ มีอะไรแปลก ๆ อีกละ

DSC_5378

ฝั่งตรงข้ามมีบ้านคุณนกฮูก และไปรษณีย์เก่าค่ะ

DSC_5382

เห็นเค้าว่าเป็นที่ทำการไปรษณีย์เก่าถึง 100 ปีเลยนะ

DSC_5383

แล้วก็มาหาอะไรกินบ้างดีกว่าค่ะ

เคโกะเตะตากับร้านนี้ หน้าตาเป็นเส้นลูกชิ้นปลายาว ๆ ชุบแป้งทอดค่ะ พอถามลุงถ่ายรูปได้มั้ย ลุงพยักหน้ารับแบบเต็มใจมาก พร้อมทั้งบอกจุดให้ยืนถ่ายรูปและโพสต์ท่าเสร็จสรรพเลยค่ะ

IMG_3650

ร้านลุงจะมีหลาย ๆ แบบ เราบอกได้ว่าเอาอะไร ไม่เอาอะไร และขนาดเท่าไหร่ (เป็นราคา) ค่ะ นอกจากนี้ลุงยังให้เซลฟี่กับลุง โดยลุงจัดท่าให้ด้วย คือ น่ารักมากกกกกกกกกกกกกกกค่ะ

ได้มา 1 ถ้วย รสชาติอร่อยดีค่ะ เนื้อเหมือนลูกชิ้นปลาเด้ง ๆ หนึบหนับ ๆ หน่อยนะ สนนราคา 100NTD ค่ะ

IMG_3652

จากนั้นก็ไปสั่งเผือกทอดกินอีก 1 ถ้วยค่ะ เป็นร้านด้านซ้ายมือ ถ่ายไกล ๆ หน่อยนะเพราะไม่ได้ขอเค้าถ่ายรูปค่ะ แหะๆ

IMG_3654.jpg

ร้านนี้สั่งง่ายค่ะ แค่บอกว่าเอาไซส์เล็กหรือใหญ่ก็พอ เดี๋ยวเค้าจะตัดเป็นคำ ๆ ใส่ถ้วยให้เรา แล้วให้เราปรุงน้ำจิ้มที่ตั้งอยู่ด้านหน้าเองตามใจชอบ

ถ้วยนี้ราคา 70NTD .. แต่รสชาติไม่ผ่านค่ะ รู้สึกเหมือนแป้งเยอะเกินไป ไม่ได้รสสัมผัสของเผือกเลย ไม่ถูกจริตอย่างแรงเลยล่ะค่ะ ><~

IMG_3653

ทานเสร็จก็กลับไปรอรถเพื่อไปที่สถานีรถไฟ Zhunan เหมือนขามาค่ะ ตรงนี้เป็นป้ายใหญ่ เลยมีป้ายไฟกระพริบบอกเวลารถมาถึงป้ายด้วย

IMG_3656

กลับมาถึงสถานี Zhunan แล้ว จริง ๆ เคโกะจะต้องนั่งรถไฟ Local line เพื่อไปที่สถานี Miaoli ตามแผนเดิมคือ ไม่ได้ไปเขาหัวสิงโต และมาเหมียวลี่เพื่อนั่งรถบัสไปเก็บสตรอเบอรี่ ก่อนกลับมานั่งรถไปดูสะพานขาดและสถานี Shengxing ค่ะ ซึ่งเป็นจุดแลนด์มาร์คที่นิยมมาถ่ายรูปกัน แต่พอเคโกะไปปีนเขาหัวสิงโต ก็เลยรวนไปหมดเลย (555)

เวลานั้นก็จัดว่าเย็นแล้วแหละสำหรับฤดูหนาวค่ะ แต่ก็คิดเอาเองว่าน่าจะพอไปสะพานขาดและ Shengxing ได้ ซึ่งทั้ง 2 ที่นั้นไม่มีรถเมล์ไปนะคะ เคโกะก็เลยจัดหนัก โบกแท็กซี่ไปเลยค่ะ T.T

กว่าจะถึงก็มืดแล้วอะ แล้วทั้ง 2 ที่ก็ไม่มีการจัดไฟเพื่อความสวยงามในการถ่ายรูปยามค่ำคืนใด ๆ เลยนะคะ แต่ว่าตัวสถานที่เองเปิดตลอด 24 ชม.ค่ะ

DSC_5388

คนขับรถเองก็บ่น ๆ แกมเป็นห่วงเหมือนกันว่าจะมาทำไมเย็น ๆ ต้องไปตอนเช้าสิ อะไรงี้ แต่ก็สัมผัสได้ค่ะว่าน่ารัก อัธยาศัยดี แล้วก็ขับรถดีมาก ๆ ด้วย

สุดท้ายก็เลยพับแผนทั้งหมด ให้คนขับรถไปส่งที่สถานี Miaoli เพื่อนั่งรถไฟกลับ Taipei ค่ะ โดยคนขับรถก็คงรู้อะว่ารถไฟที่เคโกะจองตั๋วไว้แล้วนั้นน่าจะอีกนานกว่าจะออกค่ะ ก็เลยไปส่งให้ที่ด้านหลังของสถานีรถไฟ ซึ่งมีตลาดกลางคืนอยู่ เดินเล่นฆ่าเวลาได้ หาของกินรองท้องได้ดีเลยค่ะ (ไม่มีรูปค่ะ แหะๆ)

โดยสรุปก็เป็นจังหวัดที่ดูไม่น่าจะมีอะไร แต่ก็มีอะไรค่ะ ต้องกลับมาเก็บตกที่พลาด ๆ ไปอีกรอบด้วยล่ะค่ะ ^^”

โพสต์หน้า น่าจะยังวนเวียนอยู่กับทริปไต้หวันช่วงปีใหม่อีกซักโพสต์นึงก่อนที่จะโยกข้ามไปญี่ปุ่นบ้างนะคะ

ระหว่างหาย ๆ ไป แวะไปทักทายกันได้ที่เพจค่ะ :: https://www.facebook.com/thisiskeigo/